ASTVผู้จัดการรายวัน-พรีมาเวสท์ตั้งเป้าปีวัว AUM โตหมื่นล้าน ครึ่งปีแรกเล็งส่งกองตราสารหนี้ภาครัฐเอาใจลูกค้า 3-5 กอง ส่วนครึ่งหลังเน้นกองหุ้นเอาใจลูกค้าชอบเสี่ยง พร้อมชูกลยุทธ์ใหม่ขยายฐานลูกค้าด้วยการให้ความรู้ และสร้างความสัมพันธ์เป็นหลัก หลังโครงการ"จิบน้ำชาย่ามบ่าย"มีเสียงตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
นางสาวศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด บริษัท ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการขยายตัวของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM) เอาไว้ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าจะสามารถออกกองทุนเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนได้ประมาณ 3-5 กองทุน ขนาดกองทุนละ 500 ล้านบาท
สำหรับการออกกองทุนของบริษัทในปีนี้จะแบ่งลูกค้าออกเป็น 2 ประเภทคือ ลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้น้อย และ ลูกค้าที่สามารถรับความเสี่ยงได้มาก โดยกองทุนที่บริษัทจะเน้นออกให้กับลูกค้าประเภทแรก จะเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐอายุประมาณ 1 ปีเป็นหลัก เนื่องจากในปีที่ผ่านมาตราสารหนี้ภาคเอกชนมีปัญหาเกิดขึ้นส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
“ลูกค้าฐานเงินฝากเราจะเน้นตราสารภาครัฐ แต่ที่ผ่านมาเรากจะมีกองทุน KP-CASH ที่น่าจะเหมาะกับนักลงทุนประเภทนี้ด้วย เนื่องจากลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และเงินฝากที่ค้ำประกันเท่านั้น โดยที่ผ่านมกองทุนนี้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนจนทำให้ขนาดกองทุนขยายตัวมากขึ้นในปัจจุบันอีกด้วย”นางสาวศรีเนตรกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของลูกค้าที่สามารถรับความเสี่ยงได้ บริษัทคาดว่าจะมีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นออกมา โดยจะเน้นลงทุนใน หุ้นพื้นฐานดี และมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งจะพิจารณาจากราคาและมูลค่าทางบัญชีประกอบด้วย อย่างไรก็ตามกองหุ้นที่จะออกมานั้นจำเป็นต้องพิจารณาก่อนว่าจะสามารถทำได้ในช่วงหลังไตรมาส 1 ของปีนี้หรือไม่
ส่วนลูกค้าไพรเวทฟันด์ ซึ่งเป็นลูกค้าที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในระดับหนึ่งแล้ว บริษัทได้เตรียมที่จะนำเสนอกองสตรัคเจอร์โน๊ตที่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาน้ำมันและทองคำเอาไว้เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยกองแรกที่จะออกน่าจะเป็นกองทุนที่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำก่อน
นางสาวศรีเนตร กล่าวอีกว่า แนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังจะต้องดูสถานการณ์ในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้ก่อน เนื่องจากการแก้ปัญหาของประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่มีผลชัดเจนมากนัก ซึ่งหากปัญหายังไม่จบเพียงเท่านี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยคงจะได้รับผลกระทบไปด้วย
“อเมริกายังไม่แน่ว่าปัญหามันจะหยุดเลยหรือเปล่า ถึงแม้จะมีการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบจำนวนมากก็ตาม ซึ่งหุ้นไทยถ้าเป็นแบบนี้คงจะได้รับผลกระทบ และคาดว่าจะดัชนีจะอยู่ที่ประมาณ 300-350 จุด แต่ถ้าต่างชาติพากันเทขายอีกดัชนีก็อาจจะลดต่ำลงถึง 200 จุดได้เช่นกัน”นางสาวศรีเนตรกล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นได้ในช่วงปลายปีของปีนี้ ซึ่งจะทำให้สามารถเป็นขายกองทุนหุ้นได้หากผลกระทบดังกล่าวไม่เกิดขึ้น
นางสาวศรีเนตร กล่าวอีกว่า กลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าของบริษัทในปีนี้จะเน้นการให้ความรู้ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันการที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและการลงทุนผันผวน บริษัทจึงได้จัดกิจกรรมจิ๊บน้ำชาย่ามบ่าย เพื่อให้ความรู้แก่นักลงทุนขึ้นทุกๆ เดือน และในเดือนนี้จะจัดขึ้นวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ในหัวข้อ”วิกฤตเศรษฐกิจ และทิสทางตลาดหุ้นไทย” ส่วนในเดือนหน้าจะเป็นเรื่องของการลงทุนในตราสารหนี้
“งานนี้เป็นการให้ความรู้แก่นักลงทุน ซึ่งเราไม่อยากเห็นนักลงทุนลงทุนเพราะอยากได้ของชำรวย หรือลงทุนเพราะผลตอบแทนแต่ยังไม่มีความรู้ โดยงานจะจัดขึ้นง่ายๆที่ออฟฟิศของเรา เนื่องจากต้องการให้เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เชิญเขามาดูบ้านเรา รู้จักการทำงานในบ้าน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับผลตอบรับดีเป็นอย่างดี”นางสาวศรีเนตรกล่าว
นางสาวศรีเนตร กล่าวอีกว่า การขยายฐานลูกค้าในปีนี้จะแบ่งเป็น 2 ช่วงคือในช่วงครึ่งปีแรกจะเน้นขยายฐานลูกค้าเงินฝากก่อน และจะเน้นขยายฐานลูกค้ากองทุนหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นหลังจากไตรมาสที่ 1
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทแบ่งเป็น ลูกค้าฐานแบงก์กรุงศรี และลูกค้าเล่นหุ้นเลย ซึ่งการขยายฐานลูกค้าด้านตัวแทนจำหน่ายของบริษัทจะเพิ่มการสื่อสารระหว่างกันให้มากขึ้น เพื่อให้ได้สินค้าที่ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุดเป็นหลัก
นางสาวศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด บริษัท ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการขยายตัวของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM) เอาไว้ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าจะสามารถออกกองทุนเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนได้ประมาณ 3-5 กองทุน ขนาดกองทุนละ 500 ล้านบาท
สำหรับการออกกองทุนของบริษัทในปีนี้จะแบ่งลูกค้าออกเป็น 2 ประเภทคือ ลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้น้อย และ ลูกค้าที่สามารถรับความเสี่ยงได้มาก โดยกองทุนที่บริษัทจะเน้นออกให้กับลูกค้าประเภทแรก จะเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐอายุประมาณ 1 ปีเป็นหลัก เนื่องจากในปีที่ผ่านมาตราสารหนี้ภาคเอกชนมีปัญหาเกิดขึ้นส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
“ลูกค้าฐานเงินฝากเราจะเน้นตราสารภาครัฐ แต่ที่ผ่านมาเรากจะมีกองทุน KP-CASH ที่น่าจะเหมาะกับนักลงทุนประเภทนี้ด้วย เนื่องจากลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และเงินฝากที่ค้ำประกันเท่านั้น โดยที่ผ่านมกองทุนนี้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนจนทำให้ขนาดกองทุนขยายตัวมากขึ้นในปัจจุบันอีกด้วย”นางสาวศรีเนตรกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของลูกค้าที่สามารถรับความเสี่ยงได้ บริษัทคาดว่าจะมีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นออกมา โดยจะเน้นลงทุนใน หุ้นพื้นฐานดี และมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งจะพิจารณาจากราคาและมูลค่าทางบัญชีประกอบด้วย อย่างไรก็ตามกองหุ้นที่จะออกมานั้นจำเป็นต้องพิจารณาก่อนว่าจะสามารถทำได้ในช่วงหลังไตรมาส 1 ของปีนี้หรือไม่
ส่วนลูกค้าไพรเวทฟันด์ ซึ่งเป็นลูกค้าที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในระดับหนึ่งแล้ว บริษัทได้เตรียมที่จะนำเสนอกองสตรัคเจอร์โน๊ตที่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาน้ำมันและทองคำเอาไว้เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยกองแรกที่จะออกน่าจะเป็นกองทุนที่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำก่อน
นางสาวศรีเนตร กล่าวอีกว่า แนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังจะต้องดูสถานการณ์ในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้ก่อน เนื่องจากการแก้ปัญหาของประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่มีผลชัดเจนมากนัก ซึ่งหากปัญหายังไม่จบเพียงเท่านี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยคงจะได้รับผลกระทบไปด้วย
“อเมริกายังไม่แน่ว่าปัญหามันจะหยุดเลยหรือเปล่า ถึงแม้จะมีการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบจำนวนมากก็ตาม ซึ่งหุ้นไทยถ้าเป็นแบบนี้คงจะได้รับผลกระทบ และคาดว่าจะดัชนีจะอยู่ที่ประมาณ 300-350 จุด แต่ถ้าต่างชาติพากันเทขายอีกดัชนีก็อาจจะลดต่ำลงถึง 200 จุดได้เช่นกัน”นางสาวศรีเนตรกล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นได้ในช่วงปลายปีของปีนี้ ซึ่งจะทำให้สามารถเป็นขายกองทุนหุ้นได้หากผลกระทบดังกล่าวไม่เกิดขึ้น
นางสาวศรีเนตร กล่าวอีกว่า กลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าของบริษัทในปีนี้จะเน้นการให้ความรู้ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันการที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและการลงทุนผันผวน บริษัทจึงได้จัดกิจกรรมจิ๊บน้ำชาย่ามบ่าย เพื่อให้ความรู้แก่นักลงทุนขึ้นทุกๆ เดือน และในเดือนนี้จะจัดขึ้นวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ในหัวข้อ”วิกฤตเศรษฐกิจ และทิสทางตลาดหุ้นไทย” ส่วนในเดือนหน้าจะเป็นเรื่องของการลงทุนในตราสารหนี้
“งานนี้เป็นการให้ความรู้แก่นักลงทุน ซึ่งเราไม่อยากเห็นนักลงทุนลงทุนเพราะอยากได้ของชำรวย หรือลงทุนเพราะผลตอบแทนแต่ยังไม่มีความรู้ โดยงานจะจัดขึ้นง่ายๆที่ออฟฟิศของเรา เนื่องจากต้องการให้เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เชิญเขามาดูบ้านเรา รู้จักการทำงานในบ้าน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับผลตอบรับดีเป็นอย่างดี”นางสาวศรีเนตรกล่าว
นางสาวศรีเนตร กล่าวอีกว่า การขยายฐานลูกค้าในปีนี้จะแบ่งเป็น 2 ช่วงคือในช่วงครึ่งปีแรกจะเน้นขยายฐานลูกค้าเงินฝากก่อน และจะเน้นขยายฐานลูกค้ากองทุนหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นหลังจากไตรมาสที่ 1
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทแบ่งเป็น ลูกค้าฐานแบงก์กรุงศรี และลูกค้าเล่นหุ้นเลย ซึ่งการขยายฐานลูกค้าด้านตัวแทนจำหน่ายของบริษัทจะเพิ่มการสื่อสารระหว่างกันให้มากขึ้น เพื่อให้ได้สินค้าที่ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุดเป็นหลัก