ผู้จัดการกองทุน เตือนกองทุนใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงการลงทุนย่อมมีสูงขึ้นไปด้วย พร้อมคาดกระแสการตอบรับจะมีเพียงในระดับหนึ่ง ไม่มากหรือล้นจอง ชี้ช่วงนี้เป็นจังหวะดีของบลจ.ในการเสนอขายกองทุนใหม่ เพราะหากผ่านไปถึงไตรมาส2 สถานการณ์หลายอย่างอาจไม่ดีขึ้น เช่นเดียวกับเม็ดเงินกองทุนเกาหลี แม้ไหลกลับมาจำนวนมาก แต่จะหาเงินที่กลับไปลงทุนอีกรอบได้น้อย เพราะโดยรวมนักลงทุนยังไม่กล้าใช้เงิน
ผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจอุตสาหกรรมกองทุนรวมในช่วงนี้ว่า ในไตรมาส1/2552 จะเป็นเรื่องของจังหวะลงทุน รวมทั้งจังหวะในการนำเสนอสินค้าใหม่ (กองทุนรวม) ซึ่งบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) ที่มีแนวคิดออกกองทุนใหม่เพิ่มเติม นอกเหนือจากกองทุนตราสารหนี้ที่มีการออกเป็นประจำแล้ว จำเป็นที่จะต้องยอมรับความเสี่ยงและผลที่กลับมาด้วย เนื่องจากนักลงทุนส่วนมากยังมีความกังวลต่อภาพรวมการลงทุนที่มีความผันผวนในขณะนี้ โดยเฉพาะกองทุนรวมที่ลงทุนต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) และกองทุนหุ้น ดังนั้นมูลค่าจากระดมทุนอาจไม่ได้ตั้งเป้าหมาย ที่คาดหวังเอาไว้
“ตอนนี้มีหลายรายที่ออกกองทุนใหม่นอกเหนือจากกองทุนตราสารหนี้ ไล่ตั้งแต่ กองทุนหุ้นที่เน้นการจ่ายปันผล กองทุนเอฟไอเอฟ ที่จะลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียง หรือที่จะลงทุนในภูมิภาคเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น โดยกองทุนใหม่เหล่านี้ ถือว่ามีการนำเสนอขายในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ดี แต่ต้องไม่ลืมว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่กลับมา 100% ดังนั้นการระดมทุนอาจจะเป็นไปไม่ได้ดังที่คาดหวัง”
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากนี้จะมีบลจ.รายอื่นๆ นำกองทุนใหม่ออกมาขายเพิ่มเติม หลังจากที่เริ่มมีการเปิดขายกองทุนเอฟไอเอฟและกองทุนหุ้นออกมาแล้ว เพราะเป็นจังหวะที่จะช้าไม่ได้ เนื่องจากในไตรมาส 2 หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า สถานการณ์ในด้านต่างๆน่าจะไม่ดีขึ้น ดังนั้นหากมีการจัดตั้งออกมาล่าช้าอาจส่งผลถึงผลตอบแทนการลงทุนที่ลูกค้าจะได้รับ
ทั้งนี้ การนำเสนอกองทุนใหม่นอกเหนือจากกองทุนตราสารหนี้ นับว่าสร้างความสนใจให้แก่ผู้ลงทุนได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่นักลงทุนต้องการการลงทุนที่ได้รับให้ผลตอบแทนในระดับสูงกว่า ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ และดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบัน ดังนั้นกองทุนใหม่ที่มีการออกมานำเสนอ ผลตอบแทนที่ให้ผู้ลงทุนต้องอยู่ในระดับที่สูงขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนที่สูงนั้น ผู้จัดการกองทุน กล่าวย้ำว่าผู้ลงทุนต้องเข้าใจ และยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ด้วย เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นในและต่างประเทศ ต่างมีทิศทางปรับตัวลดลง แม้จะมีแรงซื้อเข้ามากระตุ้นในบางช่วงก็ตาม ส่วนแนวโน้มของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หลายประเภท เช่นน้ำมัน ทองคำ ก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงไปอีก มากกว่าที่ทรงตัวอยู่ในปัจจุบันนี้
“การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง 6 -7 % แน่นอนว่าความเสี่ยงในการลงทุนย่อมมีสูงขึ้นตามไปด้วย ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดในหนังสือชี้ชวนให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าปีนี้อะไรหลายอย่างยังมีทิศทางที่จะชะลอตัวลง”
นอกจากนี้ ภาวะการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีแค่ไหน แต่ถ้ากำลังซื้อไม่มี หรือมีน้อยลงย่อมส่งผลกระทบถึงภาพรวมของธุรกิจเช่นกัน ส่วนที่จะหวังผลให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาลออกมาช่วยนั้น เรื่องนี้ประเมินว่านักลงทุนรับรู้ข่าวสารดังกล่าวมามากในระดับหนึ่งหนึ่งแล้ว และหลายฝ่ายก็คาดกันว่าไตรมาส 2 – 3 ของปีนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์และตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ยังอยู่ในช่วงขาลง
ขณะเดียวกัน นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด กล่าวให้ความเห็นว่า แม้ในปีนี้จะมีเม็ดเงินจำนวนมากทยอยกลับมาจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลี แต่หากมีการระดมทุนกลับไปลงทุนที่เกาหลีต่ออีกครั้งก็เชื่อว่า จะมีเม็ดเงินไหลกลับมาน้อยจากเดิมมาก เพราะนักลงทุนยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อภาวการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนี้ แม้ว่าการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็ตาม
ผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจอุตสาหกรรมกองทุนรวมในช่วงนี้ว่า ในไตรมาส1/2552 จะเป็นเรื่องของจังหวะลงทุน รวมทั้งจังหวะในการนำเสนอสินค้าใหม่ (กองทุนรวม) ซึ่งบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) ที่มีแนวคิดออกกองทุนใหม่เพิ่มเติม นอกเหนือจากกองทุนตราสารหนี้ที่มีการออกเป็นประจำแล้ว จำเป็นที่จะต้องยอมรับความเสี่ยงและผลที่กลับมาด้วย เนื่องจากนักลงทุนส่วนมากยังมีความกังวลต่อภาพรวมการลงทุนที่มีความผันผวนในขณะนี้ โดยเฉพาะกองทุนรวมที่ลงทุนต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) และกองทุนหุ้น ดังนั้นมูลค่าจากระดมทุนอาจไม่ได้ตั้งเป้าหมาย ที่คาดหวังเอาไว้
“ตอนนี้มีหลายรายที่ออกกองทุนใหม่นอกเหนือจากกองทุนตราสารหนี้ ไล่ตั้งแต่ กองทุนหุ้นที่เน้นการจ่ายปันผล กองทุนเอฟไอเอฟ ที่จะลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียง หรือที่จะลงทุนในภูมิภาคเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น โดยกองทุนใหม่เหล่านี้ ถือว่ามีการนำเสนอขายในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ดี แต่ต้องไม่ลืมว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่กลับมา 100% ดังนั้นการระดมทุนอาจจะเป็นไปไม่ได้ดังที่คาดหวัง”
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากนี้จะมีบลจ.รายอื่นๆ นำกองทุนใหม่ออกมาขายเพิ่มเติม หลังจากที่เริ่มมีการเปิดขายกองทุนเอฟไอเอฟและกองทุนหุ้นออกมาแล้ว เพราะเป็นจังหวะที่จะช้าไม่ได้ เนื่องจากในไตรมาส 2 หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า สถานการณ์ในด้านต่างๆน่าจะไม่ดีขึ้น ดังนั้นหากมีการจัดตั้งออกมาล่าช้าอาจส่งผลถึงผลตอบแทนการลงทุนที่ลูกค้าจะได้รับ
ทั้งนี้ การนำเสนอกองทุนใหม่นอกเหนือจากกองทุนตราสารหนี้ นับว่าสร้างความสนใจให้แก่ผู้ลงทุนได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่นักลงทุนต้องการการลงทุนที่ได้รับให้ผลตอบแทนในระดับสูงกว่า ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ และดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบัน ดังนั้นกองทุนใหม่ที่มีการออกมานำเสนอ ผลตอบแทนที่ให้ผู้ลงทุนต้องอยู่ในระดับที่สูงขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนที่สูงนั้น ผู้จัดการกองทุน กล่าวย้ำว่าผู้ลงทุนต้องเข้าใจ และยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ด้วย เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นในและต่างประเทศ ต่างมีทิศทางปรับตัวลดลง แม้จะมีแรงซื้อเข้ามากระตุ้นในบางช่วงก็ตาม ส่วนแนวโน้มของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หลายประเภท เช่นน้ำมัน ทองคำ ก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงไปอีก มากกว่าที่ทรงตัวอยู่ในปัจจุบันนี้
“การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง 6 -7 % แน่นอนว่าความเสี่ยงในการลงทุนย่อมมีสูงขึ้นตามไปด้วย ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดในหนังสือชี้ชวนให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าปีนี้อะไรหลายอย่างยังมีทิศทางที่จะชะลอตัวลง”
นอกจากนี้ ภาวะการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีแค่ไหน แต่ถ้ากำลังซื้อไม่มี หรือมีน้อยลงย่อมส่งผลกระทบถึงภาพรวมของธุรกิจเช่นกัน ส่วนที่จะหวังผลให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาลออกมาช่วยนั้น เรื่องนี้ประเมินว่านักลงทุนรับรู้ข่าวสารดังกล่าวมามากในระดับหนึ่งหนึ่งแล้ว และหลายฝ่ายก็คาดกันว่าไตรมาส 2 – 3 ของปีนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์และตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ยังอยู่ในช่วงขาลง
ขณะเดียวกัน นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด กล่าวให้ความเห็นว่า แม้ในปีนี้จะมีเม็ดเงินจำนวนมากทยอยกลับมาจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลี แต่หากมีการระดมทุนกลับไปลงทุนที่เกาหลีต่ออีกครั้งก็เชื่อว่า จะมีเม็ดเงินไหลกลับมาน้อยจากเดิมมาก เพราะนักลงทุนยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อภาวการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนี้ แม้ว่าการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็ตาม