บลจ.ไอเอ็นจีเป็นชู “กองทุนไอเอ็นจี ไทย เทรเชอรี” ดีมานด์ล้น เอ็นเอวีขยับแตะ1.6 พันล้านบาทในรอบ 5 เดือน หลังนักลงทุนกังวลวิกฤติเศรษฐกิจโลก แห่ปรับพอร์ตโบกลงทุนพันธบัตรช่วยลดความเสี่ยงแทน
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษา การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาวะตลาดตราสารหนี้ในช่วงนี้ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.5% ซึ่งการลดดอกเบี้ยครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ลงแรง ต่อจากนี้โอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยอีกคงไม่มากอย่างที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้ผลตอบแทนของตราสารหนี้จะแปรผันตามอัตราดอกเบี้ยแต่ก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน ขณะเดียวกันการลงทุนในหุ้นนั้นก็มีความผันผวนอย่างมาก ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่วิตกกังวลเกี่ยวกับผลตอบแทนที่ติดลบ ทำให้นักลงทุนจำนวนมากจึงหันมาให้ความสนใจกับการลงทุนในตราสารหนี้และพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำ
ทั้งนี้ จากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นและความกังวลในเรื่องผลตอบแทนของนักลงทุนส่ง ผลให้ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เทรเชอรี (ING Thai Treasury Fund) ได้รับความนิยม อย่างมาก ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในวันที่ 20 ตุลาคม 2551 มียอดหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากขนาดของสินทรัพย์หรือ (เอ็นเอวี) ที่ระดับ 709.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 1,612.88 ล้านบาท ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 903 ล้านบาทคิดเป็น 127.32%
โดยเอ็นเอวีของกองทุนดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนให้ความสนใจเข้าลงทุนในกองทุนนี้เป็นอย่างมาก สอดคล้องกับภาพรวมการลงทุนในขณะนี้ที่นักลงทุนสนใจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐ เพื่อลดผลกระทบความเสี่ยงจากการลงทุน ขณะเดียวกันในส่วนของผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนของกองทุนอยู่ที่ 2.20% และนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 2.47% ต่อปี
“ที่ผ่านมามีนักลงทุนที่โยกเงินลงทุนจากกองทุนหุ้นมาพักไว้ในกองทุนตลาดเงินและกองทุนตราสารหนี้เป็นจำนวนมากเพื่อรอจังหวะกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นอีกครั้ง ซึ่งกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เทรเชอรี ก็เป็นหนึ่งในกองทุนที่นักลงทุนเลือกพักเงินอีกด้วย ส่วนผลกระทบการลดดอกเบี้ยที่จะส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลงนั้น คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะกองทุนตลาดเงินจะลงทุนในระยะสั้นๆ ความเสี่ยงเรื่องผลตอบแทนติดลบจึงมีน้อย” นายจุมพล กล่าว
นายจุมพล กล่าวอีกว่า สำหรับตลาดภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น แรงขายสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างมากถึง 1.66 ล้านล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้แรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติคงไม่มากเท่าที่ผ่านมา ขณะเดียวกันนักลงทุนควรทยอยลงทุน หรือที่เรียกว่า Dollar Cost Average เนื่องจากเราไม่รู้ว่าราคาหุ้นต่ำสุดที่เท่าไรและเมื่อไร ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้
สำหรับ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เทรเชอรีเป็นกองทุนรวมตลาดเงินหรือMoney Market Fund ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหรือมีไว้ซึ่ง ตราสารแห่งหนี้ และ/หรือเงินฝากระยะสั้น เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาสภาพคล่อง และ/หรือเพื่อการลงทุน โดยการลงทุนในตราสารแห่งหนี้นั้น กองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารทั้งภาครัฐ และ/หรือภาครัฐวิสาหกิจ ที่มีความมั่นคงและมีสภาพคล่องสูงเป็นหลัก เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และ/หรือตราสารทางการเงินอื่นใด ที่มีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถาม หรือจะครบกำหนดชำระคืนหรือมีอายุสัญญาไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ลงทุนในทรัพย์สินหรือเข้าทำสัญญาเหล่านั้นโดยกองทุนอาจมีการลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต)หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษา การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาวะตลาดตราสารหนี้ในช่วงนี้ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.5% ซึ่งการลดดอกเบี้ยครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ลงแรง ต่อจากนี้โอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยอีกคงไม่มากอย่างที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้ผลตอบแทนของตราสารหนี้จะแปรผันตามอัตราดอกเบี้ยแต่ก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน ขณะเดียวกันการลงทุนในหุ้นนั้นก็มีความผันผวนอย่างมาก ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่วิตกกังวลเกี่ยวกับผลตอบแทนที่ติดลบ ทำให้นักลงทุนจำนวนมากจึงหันมาให้ความสนใจกับการลงทุนในตราสารหนี้และพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำ
ทั้งนี้ จากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นและความกังวลในเรื่องผลตอบแทนของนักลงทุนส่ง ผลให้ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เทรเชอรี (ING Thai Treasury Fund) ได้รับความนิยม อย่างมาก ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในวันที่ 20 ตุลาคม 2551 มียอดหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากขนาดของสินทรัพย์หรือ (เอ็นเอวี) ที่ระดับ 709.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 1,612.88 ล้านบาท ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 903 ล้านบาทคิดเป็น 127.32%
โดยเอ็นเอวีของกองทุนดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนให้ความสนใจเข้าลงทุนในกองทุนนี้เป็นอย่างมาก สอดคล้องกับภาพรวมการลงทุนในขณะนี้ที่นักลงทุนสนใจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐ เพื่อลดผลกระทบความเสี่ยงจากการลงทุน ขณะเดียวกันในส่วนของผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนของกองทุนอยู่ที่ 2.20% และนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 2.47% ต่อปี
“ที่ผ่านมามีนักลงทุนที่โยกเงินลงทุนจากกองทุนหุ้นมาพักไว้ในกองทุนตลาดเงินและกองทุนตราสารหนี้เป็นจำนวนมากเพื่อรอจังหวะกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นอีกครั้ง ซึ่งกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เทรเชอรี ก็เป็นหนึ่งในกองทุนที่นักลงทุนเลือกพักเงินอีกด้วย ส่วนผลกระทบการลดดอกเบี้ยที่จะส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลงนั้น คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะกองทุนตลาดเงินจะลงทุนในระยะสั้นๆ ความเสี่ยงเรื่องผลตอบแทนติดลบจึงมีน้อย” นายจุมพล กล่าว
นายจุมพล กล่าวอีกว่า สำหรับตลาดภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น แรงขายสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างมากถึง 1.66 ล้านล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้แรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติคงไม่มากเท่าที่ผ่านมา ขณะเดียวกันนักลงทุนควรทยอยลงทุน หรือที่เรียกว่า Dollar Cost Average เนื่องจากเราไม่รู้ว่าราคาหุ้นต่ำสุดที่เท่าไรและเมื่อไร ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้
สำหรับ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เทรเชอรีเป็นกองทุนรวมตลาดเงินหรือMoney Market Fund ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหรือมีไว้ซึ่ง ตราสารแห่งหนี้ และ/หรือเงินฝากระยะสั้น เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาสภาพคล่อง และ/หรือเพื่อการลงทุน โดยการลงทุนในตราสารแห่งหนี้นั้น กองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารทั้งภาครัฐ และ/หรือภาครัฐวิสาหกิจ ที่มีความมั่นคงและมีสภาพคล่องสูงเป็นหลัก เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และ/หรือตราสารทางการเงินอื่นใด ที่มีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถาม หรือจะครบกำหนดชำระคืนหรือมีอายุสัญญาไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ลงทุนในทรัพย์สินหรือเข้าทำสัญญาเหล่านั้นโดยกองทุนอาจมีการลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต)หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด
