ASTVผู้จัดการรายวัน - กองบอนด์เอเชีย บลจ.ไอเอ็นจี ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนก้าวกระโดดถึง 53% เหนือเกณฑ์มาตรฐานที่มีอยู่ 48% ผิดหูผิดตาจากย้อนหลัง 6 เดือนซึ่งยังติดลบ -18.84% ผู้จัดการกองทุนชี้ จากภาวะผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยลด สร้างอานิสงส์ราคาบอนด์ที่ถือขยายตัว อีกทั้งภาพรวมเศรษฐกิจประเทศในแถบเอเชียยังดูสดใสกว่า พร้อมเตือนหุ้นกู้เอกชนยังมีความเสี่ยงมากว่าพันธบัตรรัฐบาล
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ตราสารหนี้เอเชีย ที่มีผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 30 มกราคม 2552 ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เป็นเพราะช่วงที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยได้ปรับตัวลดลงไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้กองทุนได้รับประโยชน์ เนื่องจากตราสารหนี้ที่กองทุนถืออยู่นั้น เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งจากการลดดอกเบี้ยดังกล่าว ผลักดันให้ราคาตราสารหนี้ที่ถือปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้มูลค่าหน่วยลงทุน (เอ็นเอวี) ปรับเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีผลการดำเนินงาน ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 53.53% เทียบกับเกณฑ์มาตราฐาน Benchmark JP Morgan Asia Credit Index (JACI) - Investment Grade Index อยู่ที่ 48.97% ขณะที่ย้อนหลัง 6 เดือน -18.84% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -12.42% ส่วนย้อนหลัง 1 ปี -1.38% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน -6.94% และมีผลการดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 2.58% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน 5.70%
"จากผลการดำเนินงานขอกองทุนตราสารหนี้ที่ออกมาสะท้อนให้เห็นว่า ในสถานการณ์ของการลงทุนในภาวะวิกฤตเช่นนี้การลงทุนในตราสารหนี้ถือว่าช่องทางที่น่าลงทุนมากที่สุด" นายจุมพลกล่าว
สำหรับกองทุนกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ตราสารหนี้เอเชีย (ING Thai Asian USD Bond Fund ) มีมูลค่าทรัพย์สินโครงการ 1,800 ล้านบาท เป็นกองทุนประเภท กองทุนเปิดตราสารหนี้ที่ลงทุนในต่างประเทศ และประสงค์จะไม่ดำรงอัตราส่วนการลงทุนตามที่สำนักงานคณะกรรมการ กลต. กำหนด กำหนดวันรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยนโยบายการลงทุน จะมุ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่เสนอขายในสกุลเงิน USD ของประเทศในทวีปเอเชียทั้งภาครัฐบาลรัฐวิสาหกิจ และเอกชน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนและกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนภายในประเทศเป็นหลัก
นายจุมพล กล่าวต่อถึงผลการดำเนินงานของกองทุนที่ไปลงทุนอยู่ในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ว่า แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยของประเทศเกาหลีใต้จะปรับลดลงมามากจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่ถดถอยลง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของกองทุนที่ไปลงทุน เนื่องจากได้มีการล็อกอายุของตราสารเพื่อป้องกันความเสี่ยงไว้แล้ว ซึ่งหลาย บลจ. ที่ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของเกาหลีใต้ก็จะเป็นไปในลักษณะเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนั้น เศรษฐกิจของเอเชียโดยรวมแล้วยังถือว่าได้รับผลกระทบน้อยและยังมีความแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯและประเทศในยุโรป เนื่องจากการอุปโภคบริโภคภายในประเทศของภูมิภาคเอเชียยังมีความแข็งแกร่งกว่า ขณะเดียวกันยังส่งผลให้พันธบัตรภาครัฐของประเทศต่างๆในเอเชียมีความน่าลงทุนอยู่ ส่วนหุ้นกู้ของภาคเอกชนนั้นมองว่ายังมีความเสี่ยงมากกว่าพันธบัตรของรัฐบาล
ส่วนมาตรการกระตุ้นของสหรัฐฯจำนวน 8 แสนล้านเหรียญในรอบใหม่นั้น ไม่น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว และคาดว่าน่าจะมีการอัดฉีดเงินเข้าระบบอีก โดยมองว่าวิกฤตน่าจะคลี่คลายได้ต้องใช้เวลาประมาณ 18 เดือน ถึงจะเห็นผล
"โดยรวมแล้วเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียยังดูดีกว่าสหรัฐฯและยุโรป แต่การลงทุนในหุ้นกู้ของภาคเอกชนนั้นควรดูที่เครดิตเรทติ้งของบริษัทเหล่านั้นด้วยว่ามีความน่าเชื่อถือในระดับใด" นายจุมพลกล่าว