ASTVผู้จัดการรายวัน – บลจ.ยูโอบี (ไทย) รับใบสั่งจากสิงคโปร์ เน้นควบคุมความเสี่ยง-ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สู้วิกฤตเศรษฐกิจ พร้อมมองหาช่องทางออกกองทุนที่มีผลตอบแทนและความเสี่ยงต่ำในต่างประเทศ ที่มีรัฐบาลค้ำประกันเป็นหลัก เปรยสนใจออกกองทุนทองคำเช่นกัน ระบุฉีกแนวกองทุนที่มีอยู่แน่นอน
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ คงไม่เน้นเรื่องการเจริญเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) มากนัก โดยตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตจากสิ้นปี 2551 ที่ 65,000 ล้านบาท หรือโตขึ้นอีกประมาณ 10% แต่จะเน้นไปเน้นในด้านการควบคุมความเสี่ยงให้มากขึ้น เพื่อไม่ทำให้ลูกค้าเกิดความเสียหายจากการลงทุน พร้อมทั้งควบคุมต้นทุนในการประกอบธุรกิจทั้งในส่วนของงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ปรับลดลงมาประมาณ 50% รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ซึ่งในปีนี้ กลุ่มยูโอบีสิงคโปร์มีนโยบายห้ามบินมาแล้ว เน้นการใช้โทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัท ทั้งในส่วนของระบบและขั้นตอนการทำงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยในปีนี้จะเป็นปีที่เน้นทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง
“ในช่วงที่หลายปีที่ผ่านมา เราวิ่งมาตลอด แต่ในปีนี้มีนโยบายจากกลุ่มยูโอบีสิงคโปร์ชัดเจนให้หยุดวิ่ง และหันมาดูแลตัวเองให้พร้อม และใช้ความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจเป็นสำคัญ เสมือนหนึ่งการปัดกวาดบ้านเพื่อรอรับสถานการณ์ที่จะคลี่คลายในอนาคต ซึ่งถึงตอนนั้นเราจะได้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มที่”นายวนากล่าว
ส่วนแผนในการออกกองทุนในปีนี้ คงเน้นการทำตลาดกองทุนเดิมที่มีอยู่เป็นหลัก ในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ที่จะมีออกมาคงจะเป็นการมองหาโอกาสการลงทุนที่ดีกว่าในต่างประเทศโดยที่ไม่เสี่ยงให้กับนักลงทุน แทนการออกกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ เนื่องจากมองว่าในส่วนของผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลเองยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่หุ้นกู้เอกชนแม้จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าแต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ เราคงจะมองไปหาโอกาสในท่ามกลางวิกฤติจากการที่รัฐบาลของประเทศต่างๆ ออกมาค้ำประกันตราสารหนี้ให้กับบริษัทต่างๆ เพื่อให้กลไกตลาดทำงาน ไม่ใช่ออกค้ำประกันเนื่องจากบริษัทเหล่านั้นมีปัญหาแต่ประการใด ซึ่งนี้ถือเป็นโอกาสในการลงทุนที่มีอยู่ ในส่วนของกองทุนใหม่ที่จะนำเสนอต่อไปคงจะเป็นซีรีส์ของตราสารหนี้ที่มีรัฐบาลค้ำประกันมีอันดับเครดิตสูงและมีการป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวนในสกุลเงินบาทเป็นหลัก
ในขณะที่กองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ประเภทอื่น ก็มีศึกษาดูอยู่เช่นกัน ได้แก่ กองทุนทองคำ แต่คงต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งคงจะมีรูปแบบหรือรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างจากกองทุนทองคำอื่นที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบันแน่นอน ส่วนรูปแบบจะเป็นยังไงตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุป ในส่วนของกองทุนน้ำมันเองแม้จะมีความน่าสนใจ แต่ส่วนใหญ่เป็นการเข้าไปลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์สไม่ใช่ลงทุนในน้ำมันดิบจริงๆ ดังนั้น จึงมีความแตกต่างระหว่างราคาฟิวเจอร์สและราคาซื้อขายปกติอยู่ ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน Spot กับการเคลื่อนไหวของราคากองทุนน้ำมันอาจไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้ง 100% ได้ ดังนั้ นถ้าจะออกน่าจะเป็นกองทุนทองคำมากกว่า
นายวนา กล่าวว่า กองทุนหุ้นของบริษัทมีอยู่แล้ว ซึ่งแต่ละกองก็มีผลการดำเนินงานที่ดีเมื่อเทียบกับดัชนีเทียบวัด (Benchmark) ก็คงจะต้องนำมาทำการตลาดกันใหม่อีกครึ่ง ในส่วนของนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้น บริษัทก็มีผลิตภัณฑ์ไว้รองรับอยู่แล้ว ซึ่งในปีนี้มองว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯจะเคลื่อนไหวต่ำสุดไม่น่าหลุดระดับ 380 จุด และขึ้นไปสูงสุดไม่เกิน 530 จุด โดยดัชนีจะมีการเคลื่อนไหวในลักษณะที่ค่อนข้างผันผวนพอสมควร ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะถึงจุดต่ำสุดในครึ่งหลังของปี 2552 นี้ ถ้าไม่มีปัจจัยใหม่ในเชิงลบเกิดขึ้นมาอีก
ขณะที่กองทุนเปิดยูโอบีสมาร์ท เกรธเธอร์ ไชน่า (UOBSGC) นั้น บริษัทแนะนำให้นักลงทุนหาโอกาสในการทยอยลงทุนเพิ่ม เนื่องจากเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนเช่นเดียวกัน จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของจีนเอง และในปีนี้ที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าจะให้เศรษฐกิจขยายตัวประมาณ 8% ซึ่งแม้จะขยายตัวไม่ได้ตามเป้าหมายแต่เชื่อว่ายังเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่สูงอยู่ดี ซึ่งผู้ลงทุนที่ลงทุนในช่วงนี้น่าจะมีโอกาสได้กำไรในอีก 2-3 ปีข้างหน้า หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้ผ่านพ้นไปแล้ว เชื่อว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จีนจะต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกอย่างแน่นอน
โดยปัจจุบัน กองทุน UOBSGC มีสินทรัพย์สุทธิประมาณ 255 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าต่อหน่วย 4.5616 บาท ซึ่งมูลค่าของกองทุนเริ่มนิ่ง จากมุมมองในระยะยาวจึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยลงทุนต่อเนื่องโดยมองการลงทุนในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ลงทุนอย่างแน่นอน