xs
xsm
sm
md
lg

น้ำมัน-สินค้าเกษตร โอกาสที่มาพร้อมกับศก.ฟื้นตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ขณะนี้ กระแสการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) เริ่มได้รับความนสนใจและพูดถึงกันมากขึ้นอีกครั้ง หลังจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มีออกมาให้เห็นบ้างประปราย...ซึ่งความน่าสนใจของสินค้าโภคภัณฑ์นั้น แน่นอนว่า อยู่ที่ราคาที่ค่อนข้างถูกเช่นเดียวกับราคาหุ้น เพราะสินค้าโภคภัณฑ์เองก็ถูกเทขายออกมาเพื่อนำเงินไปชดเชยความเสียหายจากวิกฤตการเงินเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ราคาจะค่อนข้างถูกกว่าขณะนี้ แต่ความน่าสนใจในช่วงนั้น ยังไม่เกิด เพราะด้วยความไม่มั่นใจว่า วิกฤตครั้งนี้จะจบลงเมื่อไหร่ แล้วจะลากยาวไปไหน...แต่จากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้หลายคนเริ่มมองหาการลงทุนให้กับเงินในพอร์ตของตัวเองมากขึ้น และแน่นอนว่า การลงทุนเหล่านี้ คงหวังผลตอบแทนระยะสั้นๆ ไม่ได้ (อาจจะมีบ้างหากสามารถจับจังหวะเล่นรอบได้) แต่หากลงทุนระยะยาว แล้วให้ผลตอบแทนน่าสนใจ เชื่อว่าหลายคนก็คงพร้อมที่จะเสี่ยง

...สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ ที่น่าสนใจในช่วงนี้ นอกจาก"ทองคำ"แล้ว การลงทุนในน้ำมันและสินค้าเกษตรเองก็น่าสนใจไม่น้อย ใครที่กำลังหาข้อมูลอยู่ตอนนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด มีรายงานเรื่องนี้มาฝากกัน ซึ่งถือว่าน่าสนใจทีเดียว...

ภาวะการลงทุนในตลาดน้ำมันดิบ
ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและการลดเงินลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (Risky Asset) ของกองทุนต่างๆ เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยราคาน้ำมันดิบ (West Texas Intermediate: WTI) ได้ปรับลดลงจาก 145 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรลในเดือนกรกฎาคม 2551 มาอยู่ที่ประมาณ 51 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในวันที่ 4 เมษายน 2552

โดยปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้แก่
1) อุปสงค์และอุปทานของน้ำมันดิบ ซึ่งจะมีผลต่อปริมาณน้ำมันดิบคงเหลือ (Crude Oil Inventory) ที่ประกาศรวมถึงการคาดการณ์ของตลาดต่อปริมาณน้ำมันดิบคงเหลือดังกล่าว
2) การลงทุนในน้ำมันดิบของกองทุนต่างๆ ผ่านทางสัญญาซื้อขายในตลาดล่วงหน้า
3) การเมืองและสงคราม


ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันดิบทั้งในปัจจุบันและในอนาคต อาทิเช่น Energy Information Administration (EIA/DOE) ของประเทศสหรัฐอเมริกา คาดการณ์ GDP ของโลกจะลดลงประมาณร้อยละ 0.8 ในปี 2552 และมีผลทำให้อุปสงค์ของน้ำมันดิบลดลงประมาณ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมทั้ง Deutsche Bank ที่ได้ประมาณการ GDP ของโลกสำหรับปี 2552 ลดลงประมาณร้อยละ 1.2 และอุปสงค์ของน้ำมันดิบลดลงประมาณ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้นการคาดการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมันดิบที่ลดลดดังกล่าว จึงส่งผลทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบ WTI เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบราคา ระหว่าง 35-53 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรลและเริ่มมีสัญญาณการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในเดือนมีนาคม 2552 ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 40 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับประมาณ 51ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในวันที่ 4 เมษายน 2552 หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 27.50 โดยสาเหตุหลักมาจากการลดกำลังการผลิตของประเทศในกลุ่มโอเปค (Organization of the Petroleum Exporting Countries: OPEC) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 รวมทั้งการคาดการณ์ของตลาดเกี่ยวกับการลดลงของอุปทานน้ำมันดิบของประเทศนอกกลุ่มโอเปคในอนาคต

สำหรับประมาณการราคาน้ำมันดิบ WTI ในปี 2552 นั้น จากข้อมูลใน Bloomberg พบว่าราคาน้ำมันดิบ WTI ในไตรมาสที่สองของปี 2552 อยู่ที่ 50 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล และจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 61 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 4 ของปี 2552 หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 18 (ตารางที่ 2) ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบดังกล่าวมาจากการคาดการณ์การเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งหากเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเกิดขึ้น น้ำมันดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบพื้นฐานในอุตสาหกรรมการผลิตก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

นอกจากราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำในปัจจุบันเมื่อเทียบกับราคาของน้ำมันดิบในปีก่อนหน้า และโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคตตามสถานการณ์เศรษฐกิจ รวมถึงประมาณการราคาน้ำมันดิบจากข้อมูล Bloomberg แล้ว การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันดิบ ยังถือเป็นการลงทุนที่ช่วยสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ตการลงทุน และช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบมีความสัมพันธ์น้อยมากกับสินทรัพย์ทั่วๆไป เช่น ตราสารหนี้และตราสารทุน อีกทั้งการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ยังช่วยให้ผลตอบแทนจากเงินลงทุนเปลี่ยนแปลงตามอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว (Commodity as an inflation hedge) ได้อีกด้วย

ภาวะการลงทุนในตลาดสินค้าเกษตร
ช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2552 ที่ผ่านมา ระดับราคาของสินค้าเกษตรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Futures Market) มีทั้งที่ปรับเพิ่มขึ้นและลดลงเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา

โดยสินค้าเกษตรที่มีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ น้ำตาล ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 13.6% เทียบกับไตรมาส 4 ปี 2008 โดยมีสาเหตุหลักจากความกังวลว่าอุปทานน้ำตาลโลกจะลดลง เพราะการลดกำลังการผลิตของอินเดียจากสภาวะแล้งในประเทศ โดยคาดว่าในปี 2009 ผลผลิตน้ำตาลของประเทศอินเดียจะลดลงเหลือเพียง 16 ล้านตัน เทียบกับ 28.6 ล้านตันในปีที่ผ่านมา คิดเป็นการปรับลงถึงร้อยละ 44 ประกอบกับการลดภาษีนำเข้าน้ำตาลของอินเดียทำให้อินเดียแย่งน้ำตาลจากตลาดโลก ซึ่งจะยิ่งทำให้อุปทานขาดแคลนมากขึ้น ดังนั้นตลาดจึงคาดว่าปริมาณน้ำตาลในตลาดโลกปี 2009 จะยิ่งตึงตัวมากขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกยังค่อนข้างแข็งแกร่ง

- ข้าวโพด : ด้านผลผลิตข้าวโพดก็มีระดับราคาปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ในเดือนมี.ค. 09 กระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) ได้รายงานการคาดการณ์อุตสาหกรรมข้าวโพดโลกว่าจะมีผลผลิตลดลง 0.74% ในปี 2009 และคาดว่าการบริโภคจะเพิ่มขึ้น 0.08% ในปี 2009 โดยประเทศที่บริโภคข้าวโพดเป็นหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป(อียู) บราซิล เม๊กซิโก ในสัดส่วน 34% 20% 8% 6% 4% ตามลำดับ โดย USDA คาดว่า ปริมาณการสำรอง (สต็อก) ข้าวโพดโลกจะเพิ่มขึ้น 11.3% จาก 130.0 ล้านตันในปี 2008 เป็น 144.6 ล้านตันในปี 2009 ซึ่งนับเป็นระดับสต็อกที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มสต๊อกของจีนจาก 39.3 ล้านตันในปี 2008 เป็น 52.5 ล้านตันในปี 2009

- ถั่วเหลือง : สำหรับราคาถั่วเหลือง แม้ว่าในไตรมาสที่ผ่านมาราคาจะปรับลดลง แต่คาดว่าจะมีแนวโน้มปรับดีขึ้น เนื่องมาจากเกษตรกรในประเทศอาร์เจนติน่าที่เป็นผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลกออกมาประท้วงเรียกร้องให้ภาครัฐปรับลดภาษีส่งออกถั่วเหลืองลง จากช่วงที่ผ่านมารัฐบาลมีการปรับเพิ่มภาษีส่งออกถั่วเหลืองเพื่อรักษาผลผลิตไว้ใช้เลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ส่งผลทำมีการคาดการณ์ปริมาณการส่งออกถั่วเหลืองในตลาดโลกปรับลดลงเช่นกัน

- ข้าวสาลี : ส่วนราคาของผลผลิตข้าวสาลีในช่วงที่ผ่านมามีการปรับลดลง เนื่องมาจากการคาดการณ์ว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นในขณะที่การบริโภคอาจลดลง โดยกระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) ปรับประมาณการผลผลิตปี 2009 เพิ่มขึ้น 0.24% จากเดิม 682.8 ล้านตัน เป็น 684.4 ล้านตัน โดยปรับประมาณการผลผลิตของออสเตรเลียและอินเดียขึ้นตามการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก และปรับประมาณการการบริโภคปี 2009 ลง 0.57% จากเดิม 652.4 ล้านตัน เป็น 648.7 ล้านตัน โดยมีการปรับลดประมาณการการบริโภคของสหรัฐและรัสเซียเพราะคาดว่าเศรษฐกิจชะลอตัวจะทำให้การใช้ข้าวสาลีในอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ลดลง นอกจากนี้ USDA ปรับประมาณการสต๊อกข้าวสาลีโลกสิ้นปี 2009 ขึ้น 3.9% จากเดิม 150.0 ล้านตัน เป็น 155.8 ล้านตัน ซึ่งนับเป็นระดับสต๊อกที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี

อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก เนื่องจากสินค้าเกษตรจัดได้ว่าเป็นสินค้าทดแทนน้ำมันได้ประเภทหนึ่ง โดยการนำไปผลิตเป็นพลังงานชีวภาพ (Bio-fuel) ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น จึงทำให้แรงจูงใจในการนำสินค้าเกษตรไปผลิตเป็นพลังงานชีวภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลทางอ้อมต่อระดับราคาสินค้าเกษตรให้ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ทิสโก้มองว่าการสินค้าเกษตรยังคงมีความน่าสนใจต่อการลงทุน เนื่องจาก อุปสงค์การบริโภคทั้งเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์โดยตรงและใช้เพื่อเป็นอาหารของสัตว์ยังคงมีสูง จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งแนวโน้มการการแย่งชิงผลผลิตทางการเกษตรจากภาคอาหารไปใช้ผลิตพลังงานทดแทนที่จะยังคงเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ในขณะที่อุปทานของผลผลิตสินค้าเกษตรจะเริ่มปรับลดลง เนื่องจากพี้นที่เพาะปลูกที่ลดลง ปัญหาภัยแล้ง และอุทกภัยอันเกิดจากสภาวะโลกร้อน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว*

ที่มา : บลจ.ทิสโก้

กำลังโหลดความคิดเห็น