บลจ.ยูโอบี (ไทย) ติดใจออกกองทุนตราสารหนี้เดนมาร์ก หลัง 2 กองแรกระดมทุนได้เม็ดเงินกว่า 1,044 ล้านบาท คาดเปิดไอพีโอกอง 2 ได้ปลายเดือนเม.ย.นี้ พร้อมมองหาตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีเรตติ้ง AAA ขึ้นไป นำเสนอลูกค้าเพิ่ม
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศเดนมาร์กในซีรีส์เดียวกันกับ 2 กองทุนแรก โดยกองทุนจะมีมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท และอาจจะมีอายุโครงการมากกว่า 2 กองทุนแรก เพื่อให้สามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยมีมูลค่าเม็ดเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนได้ประมาณปลายเดือนเมษายน 2552
ขณะที่ผลการระดมทุนของกองทุนเปิด ยูโอบี เอฟไอจี 12/1 (UOBFIG 12/1) และกองทุนเปิด ยูโอบี เอฟไอจี 12/2 (UOBFIG 12/2) สามารถระดมทุนได้รวมกันประมาณ 1,044 ล้านบาท นับว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ สำหรับกองทุนที่มีผลตอบแทนไม่สูง ซึ่งนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนที่ไม่เน้นผลตอบแทน แต่ต้องการความมั่นคงของกองทุนเป็นสำคัญ
ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมมองหาตราสารหนี้ต่างประเทศที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีมานำเสนอนักลงทุนต่อไป ซึ่งตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนจะต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ตั้งแต่ระดับ AAA ขึ้นไป เพื่อสร้างความมั่นใจในการเข้าไปลงทุน แต่ยังต้องแยกดูเป็นรายตัวด้วย หากมีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่านี้ แต่มีความน่าสนใจก็จะเข้าไปลงทุนเช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะออกกองทุนที่เน้นลงทุนกึ่งตราสารหนี้กึ่งตราสารทุน โดยเบื้องต้นจะลงทุนในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไม่มาก แต่ต้องดูจังหวะในการลงทุนอีกครั้ง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า การปรับลดวงเงินซื้อกองทุนขั้นต่ำจาก 10,000 บาท เหลือเพียง 2,000 บาท และในการซื้อครั้งต่อไปจาก 5,000 บาท เหลือเพียง 1 บาท ไม่ได้มีผลมาก โดยเป็นการปรับลดเฉพาะกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี (UOBSD) เท่านั้น เพื่อให้การลงทุนกระจายไปยังนักลงทุนหลายกลุ่ม และง่ายต่อการลงทุนมากที่สุด โดยกองทุนนี้นับว่าเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด
ส่วนการเข้าไปร่วมมือบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หลายแห่งใช้กองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลีเป็นที่พักเงินสำหรับลูกค้าที่ซื้อขายหุ้นในปัจจุบัน ยังไม่ความคืบหน้า อย่างไรก็ตาม ในบางช่วงที่ธนาคารพาณิชย์ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงมา นักลงทุนก็จะนำเงินไปฝาก แต่เมื่อใดที่กองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลีสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี นักลงทุนก็จะกลับมาลงทุนเช่นเดิม
สำหรับกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี จะเน้นลงทุนในลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาครัฐ ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล ตราสารแห่งหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน และเงินฝากธนาคาร ทั้งนี้ จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร (Structured Notes) และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivative)
นายวนากล่าวว่า ส่วนแผนที่จะจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เพื่อนำนักลงทุนต่างประเทศที่สนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจในไทย ในลักษณะของการลงทุนในนิติบุคคล (Private Equity) ในบริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ ทั้งที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่มีความคืบหน้าเช่นกัน โดยปัจจุบัน มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนส่วนบุคคลในปัจจุบันอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท โดยมูลค่าสินทรัพย์ของทั้งสองกองทุนปรับเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นเม็ดเงินของรายเดิม และเป็นเงินสะสมรายเดือนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทยอยเข้ามานั่นเอง
ในส่วนของการเปิดให้นักลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ได้ทุกวันทำการตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2552 เป็นต้นไป พบว่าไม่ได้ส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากนัก ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนยังนิยมรอเข้าไปลงทุนในช่วงปลายปีมากกว่า ยิ่งในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี นักลงทุนจึงรอดูจังหวะ และไม่ค่อยอยากเข้ามาลงทุนเพิ่ม
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศเดนมาร์กในซีรีส์เดียวกันกับ 2 กองทุนแรก โดยกองทุนจะมีมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท และอาจจะมีอายุโครงการมากกว่า 2 กองทุนแรก เพื่อให้สามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยมีมูลค่าเม็ดเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนได้ประมาณปลายเดือนเมษายน 2552
ขณะที่ผลการระดมทุนของกองทุนเปิด ยูโอบี เอฟไอจี 12/1 (UOBFIG 12/1) และกองทุนเปิด ยูโอบี เอฟไอจี 12/2 (UOBFIG 12/2) สามารถระดมทุนได้รวมกันประมาณ 1,044 ล้านบาท นับว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ สำหรับกองทุนที่มีผลตอบแทนไม่สูง ซึ่งนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนที่ไม่เน้นผลตอบแทน แต่ต้องการความมั่นคงของกองทุนเป็นสำคัญ
ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมมองหาตราสารหนี้ต่างประเทศที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีมานำเสนอนักลงทุนต่อไป ซึ่งตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนจะต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ตั้งแต่ระดับ AAA ขึ้นไป เพื่อสร้างความมั่นใจในการเข้าไปลงทุน แต่ยังต้องแยกดูเป็นรายตัวด้วย หากมีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่านี้ แต่มีความน่าสนใจก็จะเข้าไปลงทุนเช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะออกกองทุนที่เน้นลงทุนกึ่งตราสารหนี้กึ่งตราสารทุน โดยเบื้องต้นจะลงทุนในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไม่มาก แต่ต้องดูจังหวะในการลงทุนอีกครั้ง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า การปรับลดวงเงินซื้อกองทุนขั้นต่ำจาก 10,000 บาท เหลือเพียง 2,000 บาท และในการซื้อครั้งต่อไปจาก 5,000 บาท เหลือเพียง 1 บาท ไม่ได้มีผลมาก โดยเป็นการปรับลดเฉพาะกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี (UOBSD) เท่านั้น เพื่อให้การลงทุนกระจายไปยังนักลงทุนหลายกลุ่ม และง่ายต่อการลงทุนมากที่สุด โดยกองทุนนี้นับว่าเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด
ส่วนการเข้าไปร่วมมือบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หลายแห่งใช้กองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลีเป็นที่พักเงินสำหรับลูกค้าที่ซื้อขายหุ้นในปัจจุบัน ยังไม่ความคืบหน้า อย่างไรก็ตาม ในบางช่วงที่ธนาคารพาณิชย์ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงมา นักลงทุนก็จะนำเงินไปฝาก แต่เมื่อใดที่กองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลีสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี นักลงทุนก็จะกลับมาลงทุนเช่นเดิม
สำหรับกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี จะเน้นลงทุนในลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาครัฐ ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล ตราสารแห่งหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน และเงินฝากธนาคาร ทั้งนี้ จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร (Structured Notes) และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivative)
นายวนากล่าวว่า ส่วนแผนที่จะจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เพื่อนำนักลงทุนต่างประเทศที่สนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจในไทย ในลักษณะของการลงทุนในนิติบุคคล (Private Equity) ในบริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ ทั้งที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่มีความคืบหน้าเช่นกัน โดยปัจจุบัน มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนส่วนบุคคลในปัจจุบันอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท โดยมูลค่าสินทรัพย์ของทั้งสองกองทุนปรับเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นเม็ดเงินของรายเดิม และเป็นเงินสะสมรายเดือนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทยอยเข้ามานั่นเอง
ในส่วนของการเปิดให้นักลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ได้ทุกวันทำการตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2552 เป็นต้นไป พบว่าไม่ได้ส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากนัก ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนยังนิยมรอเข้าไปลงทุนในช่วงปลายปีมากกว่า ยิ่งในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี นักลงทุนจึงรอดูจังหวะ และไม่ค่อยอยากเข้ามาลงทุนเพิ่ม
