ASTVผู้จัดการรายวัน – บลจ.ธนชาต เผยดีมานด์กองตราสารหนี้ล้น เดินหน้าเข็น “ตราสารหนี้พลัส4” เอาใจลูกค้า เน้นลงทุนบอนด์ภาคเอกชนและหรือภาครัฐคุณภาพดี อายุโครงการ1 ปี ไอพีโอแล้ววันนี้ – 30 มี.ค. นี้
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังเปิดขายกองทุนเปิดตราสารหนี้พลัส 4 (THANACHART FIXED INCOME PLUS FUND หรือ TFixPlus4) อายุโครงการประมาณ 1 ปี 3 เดือน มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท โดยนักลงทุนสามารถลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 5,000 บาท ซึ่งจะเสนอขายไอพีโอแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 มีนาคม 2552
โดยกองทุนดังกล่าวถือเป็นทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้สนใจลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงของตราสารหนี้ได้ ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาคเอกชนและหรือภาครัฐ ที่มีคุณภาพ มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นสูง หรือเงินฝากหรือตราสารที่เทียบเท่าเงินสด หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัยพ์ (ก.ล.ต.) กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้ทั้งนี้ กองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note)
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะเปรียบเทียบผลตอบแทนของกองทุนจากค่าเฉลี่ยระหว่างอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรที่มีอายุคงที่ (ZRR) อายุ ประมาณ 1 ปี ในสัดส่วนร้อยละ 50 และอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาคเอกชนอายุประมาณ 1 ปีในสัดส่วนร้อยละ 50 ณ วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม
นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บลจ. ธนชาต มีการออกกองทุนตราสารหนี้ตั้งแต่อายุ 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี และ 2 ปี ตามลำดับอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากที่ธนาคารพาณิชย์ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก ส่งผลให้นักลงทุนที่มีรายได้จากอัตราดอกเบี้ยเป็นหลักได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน จึงทำให้นักลงทุนกลุ่มดังกล่าวต้องแสวงหาการลงทุนในช่องทางใหม่ ๆ ที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีมากขึ้น
โดยทั้ง 3 กองทุนที่ได้เปิดขายไปก่อนหน้านี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะสามารถระดมเงินได้เต็มมูลค่าโครงการภายในวันแรกที่เสนอขายทั้ง 3 กองทุน ทั้งนี้ เนื่องจากกองทุนดังกล่าวมีขนาดกองทุนที่ไม่ใหญ่มากนัก อีกทั้งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ให้การตอบรับเป็นอย่างดีจะเป็นนักลงทุนของ บลจ. ธนชาต เอง รวมถึงลูกค้าของธนาคารธนชาต และ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต เป็นหลัก โดยนักลงทุนมองว่า ทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวนั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะเวลาที่โครงการกำหนดไว้
ทั้งนี้ ในด้านการลงทุนในตราสารหนี้ มองว่าภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวมากเช่นนี้ ส่งผลให้แรงกดดันจากเงินเฟ้อลดลงอย่างมากโดยเฉพาะในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าและยังมีความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืด จึงคาดว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลกจะใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากกว่าปกติ เพื่อเกื้อหนุนให้ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ จึงมีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยจะปรับตัวลดลงอีกในปี 2552 ดังนั้น กองทุนรวมตราสารหนี้จึงยังคงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนโดยเฉพาะในช่วงที่ผู้ลงทุนยังคงมีความกังวลในภาวะเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต่อ ๆ ไปหลังจากนี้ หาก บลจ.ธนชาต มองเห็นโอกาสการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในรูปแบบต่าง ๆ ก็คงจะมีการทยอยออกกองทุนตามภาวะตลาด เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่องต่อไป