หากท่านสนใจลงทุน อยากมีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากกว่าอัตราดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ แต่ไม่อยากรับความเสี่ยงมาก กองทุนรวมตลาดเงิน หรือ Money Market Fund (MMF) น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการลงทุนของท่าน กองทุนรวมตลาดเงิน น่าจะถือเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงในการขาดทุนต่ำในบรรดากองทุนทุกประเภท (ยกเว้นกองทุนรวมมีประกัน) โดยกองทุนรวมตราสารหนี้สามารถแบ่งได้หลายประเภท ซึ่งอาจแบ่งได้ตามรูปแบบของตราสารที่ลงทุน เช่น กองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนเฉพาะตราสารที่ออกโดยภาครัฐ กองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตราสารหนี้เอกชน กองทุนที่ลงทุนทั้งตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชน กองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น หรืออาจแบ่งตามอายุเฉลี่ย (Duration) ของกองทุน เช่น กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เป็นต้น
สำหรับท่านนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ แต่ยังคงกังวลเรื่องความเสี่ยงอยู่ โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ผันผวนขึ้นลง ท่านอาจเลี่ยงไปลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน Money Market Fund (MMF) ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยสั้นซึ่งมูลค่าหน่วยลงทุนจะมีแนวโน้มไม่ผันผวนมากนัก ผลตอบแทนของ MMF นั้นอ้างอิงกับผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นในตลาด เราสามารถดูได้จากผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลในอายุต่างๆ เปรียบเทียบกับ Duration ของกองทุนที่เราลงทุน ทั้งนี้หากผลตอบแทนจากพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น กองทุน MMF จะให้ผลตอบแทนสูงขึ้นตามไปด้วย เรียกว่า แปรผันตรงตามอัตราดอกเบี้ยในตลาด เนื่องจาก MMF ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นๆ บางทีอายุแค่ 7 วัน หรือ 2 สัปดาห์ และไม่ได้ลงทุนในตราสาหนี้ระยะสั้นนั้นๆ ในวันเดียวกันทั้งหมด ดังนั้นแต่ละวันจะมีตราสารที่ครบกำหนดชำระคืนเงินต้นเป็น Good Fund เข้ากองทุนตลอดเวลา ส่วนนี้ทางผู้จัดการกองทุนจะกันไว้เป็นสภาพคล่องเพื่อรองรับการไถ่ถอนหน่วยลงทุนให้แก่ผู้ถือหน่วยทุกวันทำการ ดังนั้นกองทุน MMF มีสภาพคล่องในการไถ่ถอนสูงมาก ลงทุนวันนี้ ขายพรุ่งนี้ ไม่จำเป็นต้องถือให้ครบกำหนดอายุตราสารนั้นๆ และผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน(ส่วนต่าง) ก็ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปคำนวณภาษี
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นกู้เอกชน ... เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระบุบนใบหุ้นกู้ จะทำให้ราคาของหุ้นกู้ที่ซื้อขายในตลาดรองปรับตัวลดลง ซึ่งหากผู้ลงทุนขายหุ้นกู้จะได้รับผลขาดทุนทันที หากถือต่อไปผู้ลงทุนจะ ยังคงได้รับดอกเบี้ยตามที่ระบุบนใบหุ้นกู้ซึ่งคงที่ตลอดอายุของหุ้นกู้ แต่ผู้ลงทุนจะเสียโอกาสที่จะได้เลือกลงทุนเพื่อรับอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า ในทางกลับกัน เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวลดลงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระบุบนใบหุ้นกู้ จะทำให้ราคาของหุ้นกู้ที่ซื้อขายในตลาดรองปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งหากผู้ลงทุนขายหุ้นกู้จะได้รับผลกำไรทันที หากถือต่อไปผู้ลงทุนจะยังคงได้รับดอกเบี้ยตามที่ระบุบนใบหุ้นกู้ซึ่งคงที่ตลอดอายุของหุ้นกู้เช่นกัน
ความเสี่ยงของตราสารหนี้ที่กระทบต่อราคาตามที่กล่าวข้างต้นย่อมส่งผลต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวม เนื่องจาก ตามหลักสากล NAV คำนวณมาจากราคาตลาดของตราสารหนี้ (mark to market) ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์ที่กองทุนถืออยู่ ดังนั้น ในกรณีที่ NAV ของกองทุนรวมตราสารหนี้ปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้น ไม่ได้หมายความว่า กองทุนรวมและผู้ถือหน่วยลงทุนขาดทุนแท้จริงทันที ซึ่งหากหน่วยลงทุนดังกล่าวเป็นหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ผู้ถือหน่วยลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจไถ่ถอนหน่วยลงทุนว่า การปรับตัวของ NAV มีสาเหตุมาจากอะไร โดยการไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกรณีดังกล่าวอาจส่งผลให้กองทุนรวมต้องขายตราสารหนี้ที่ถืออยู่ในราคาถูกเพื่อนำเงินมาชำระคืนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน และทำให้เกิดผลขาดทุนที่แท้จริงทันที
สำหรับ แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยในปี 2552 อเบอร์ดีนเชื่อว่าตลาดตราสารหนี้ไทยจะเริ่มต้นปี 2552 ด้วยผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ โดยเฉพาะพันธบัตรอายุสั้นถึงปานกลาง โดยมีแรงหนุนจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ในขณะที่ไม่มีสัญญาณการก่อตัวของภาวะเงินเฟ้อในระยะสั้น บวกกับแนวโน้มที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกมาก อเบอร์ดีนจึงเชื่อว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของตราสารหนี้ไทยมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้อีก จนกว่าตลาดจะมีการตอบรับต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่านี้ และสามารถคาดเดาถึงจุดต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยนโยบายกันได้มากขึ้นในหมู่นักลงทุนซึ่งอเบอร์ดีนคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงไตรมาสสองของปี 2552 ส่วนแนวโน้มสำหรับครึ่งปีหลังนั้นอเบอร์ดีนคาดว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยจะมีการปรับตัวขึ้นบ้าง เนื่องมาจากแนวโน้มที่ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงที่ และแรงกดดันเงินเฟ้อที่จะเริ่มก่อตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 ...หากท่านยังไม่ทราบว่าปีนี้จะวางแผนการลงทุนอย่างไร หรือจะพักเงินของท่านไว้ที่ใด ในสภาวะตลาดผันผวนเช่นนี้ อเบอร์ดีนขอแนะนำ กองทุนเปิด อเบอร์ดีน แคช ครีเอชั่น ซึ่งมีการถือพันธบัตรที่มีอายุเฉลี่ยสูง แต่ยังคงอยู่ในกรอบของกองทุนรวมตลาดเงิน ซึ่งมีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี มีการบันทึกราคาตามตลาดของตราสารหนี้ (Mark to market) เมื่อมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ราคาของพันธบัตรที่เราถืออยู่จึงมีการปรับขึ้น และส่งผลให้กองทุนมีอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับต่ำสุด โดยความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนในกองทุน อเบอร์ดีน แคช ครีเอชั่น อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากไม่มีหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนอยู่ในพอร์ตการลงทุน พอร์ตการลงทุน ณ 27 ก.พ. 52 ประกอบด้วยพันธบัตรที่ออกโดยธนาคาร แห่งประเทศไทย 59.0% และกระทรวงการคลัง 43.2% จึงมีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำมาก (Credit Risk)
กองทุนเปิดอเบอร์ดีน แคช ครีเอชั่น เป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องสูง เพราะผู้ลงทุนสามารถซื้อและขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ และเนื่องจากไม่มีค่าธรรมเนียมเสนอขายและรับซื้อคืน จึงทำให้กองทุนนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้ลงทุน สำหรับการวางแผนการลงทุนในช่วงสภาวะตลาดผันผวน ผู้ลงทุนสามารถพักเงินในกองทุนดังกล่าว เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมในการโยกย้ายไปลงทุนในกองทุนอื่นๆหรือเป็นการลงทุนเพื่อโอกาสในการได้รับอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของบัญชีออมทรัพย์หรือบัญชีเงินฝากประจำ
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน