บลจ.พรีมาเวสท์คาดกนง.อาจปรับดอกเบี้ยอีกระลอกกระตุ้นเศรษฐกิจ ชูหุ้นกู้เอกชนดาวเด่นสำหรับนักลงทุน ขณะเดียวกันแนะลูกค้าลงทุนผ่านกองทุน เปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ฟิกซ์อินคัม 6M 1 มั่นใจสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากและพันธบัตรรัฐในช่วงนี้
นางสาวศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม พรีมาเวสท์ จำกัด บริษัทฯ ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ฟิกซ์อินคัม 6M 1 หรือ KPF6M1 แก่ผู้ลงทุนทั่วไปจนถึงวันที่ 24 มีนาคมนี้ เพื่อเสนอเป็นทางเลือกที่ดีแก่ผู้ลงทุนในช่วงที่ดอกเบี้ยอยู่ในขาลง เนื่องจากกองทุนนี้สามารถให้ผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนในอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก อีกทั้งผลตอบแทนที่ได้รับก็ไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
"กองทุน KPF6M1 น่าจะเป็นอีกทางเลือกการลงทุนที่ได้รับความสนใจ และได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากกองทุนนี้สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ในระดับที่น่าพอใจ ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และจากการคาดการณ์ว่าในปีนี้ กนง. จะยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากเป็นดังนั้นผู้ลงทุนก็จะหาอัตราผลตอบแทนที่ดีๆ ได้ยากขึ้น ดังนั้นกองทุน KPF6M1 นี้จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการล็อคอัตราผลตอบแทนที่แน่นอนที่จะได้รับในช่วง 6 เดือน หากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง"นางสาวศรีเนตรกล่าว
สำหรับ กองทุน KPF6M1 นี้จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนคุณภาพดี ที่มีระดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ A- ขึ้นไป อาทิ ตั๋วแลกเงินของ บ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน), บ.น้ำตาลมิตรผล จำกัด, บ.อยุธยา ดิเวลลอปเม้น ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน), บ. ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และบ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
นางสาวศรีเนตร กล่าวอีกว่า บริษัทเอกชนเหล่านี้ถือเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการดำเนินธุรกิจที่ดี และพร้อมให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่าเงินฝากและพันธบัตรรัฐบาลไทย ผู้ลงทุนสามารถมั่นใจได้ เนื่องจากพรีมาเวสท์จะให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการคัดเลือกบริษัทผู้ออกตราสาร โดยจะวิเคราะห์จากแนวโน้มของอุตสาหกรรม ลักษณะธุรกิจของบริษัท รวมถึงฐานะทางการเงิน และความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก จึงถือได้ว่ากองทุน KPF6M1 สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ ในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงแบบนี้
อนึ่ง เป้าหมายของบลจ.พรีมาเวสท์ในปีนี้ นางสาวศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด ได้เคยเปิดเผยว่า จะพยายามขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสำหรับธุรกิจกองทุนรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 60% หรือคิดเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น 6,000 ล้านบาท จากสินทรัพย์รวมประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งหากเป็นไปตามเป้า จะทำให้สินทรัพย์ทั้งปีนี้ขยบัขึ้นไปอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ล่าสุด ณ เดือนมกราคม 2552 สินทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านหรือเติบโตขึ้น 2% แล้ว โดยเงินที่ไหลเข้ามาดังกล่าว มาจากกองทุนทุกประเภท ซึ่งรวมถึงกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ มันนี่ (KPM) ที่ขยายตัวค่อนข้างมาก เนื่องจากนักลงทุนยังเห็นว่าให้ผลตอบแทนที่ดี ล่าสุด กองทุนมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 2,261.13 ล้านบาท จากปลายปีที่มีเงินลงทุนเพียง 1,240.28 ล้านบาท
สำหรับกองทุนที่บลจ.พรีมาเวสท์วางแผนจะนำเสนอให้กับนักลงทุนในปีนี้ จะทยอยเปิดขายเดือนละ 1 กองทุนรวมทั้งสิ้น 12 กองทุน ประกอบด้วยกองทุนตราสารหนี้ ที่ลงทุนทั้งในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) และกองทุนต่างประเทศที่จะลงทุนในดัชนีอีทีเอฟของสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทใดประเภทหนึ่ง ส่วนกองทุนหุ้นในประเทศที่อาจจะนำกลับมาปัดฝุ่นทำการตลาดอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นปรับลดลงค่อนข้างมาก
นางสาวศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม พรีมาเวสท์ จำกัด บริษัทฯ ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ฟิกซ์อินคัม 6M 1 หรือ KPF6M1 แก่ผู้ลงทุนทั่วไปจนถึงวันที่ 24 มีนาคมนี้ เพื่อเสนอเป็นทางเลือกที่ดีแก่ผู้ลงทุนในช่วงที่ดอกเบี้ยอยู่ในขาลง เนื่องจากกองทุนนี้สามารถให้ผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนในอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก อีกทั้งผลตอบแทนที่ได้รับก็ไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
"กองทุน KPF6M1 น่าจะเป็นอีกทางเลือกการลงทุนที่ได้รับความสนใจ และได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากกองทุนนี้สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ในระดับที่น่าพอใจ ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และจากการคาดการณ์ว่าในปีนี้ กนง. จะยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากเป็นดังนั้นผู้ลงทุนก็จะหาอัตราผลตอบแทนที่ดีๆ ได้ยากขึ้น ดังนั้นกองทุน KPF6M1 นี้จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการล็อคอัตราผลตอบแทนที่แน่นอนที่จะได้รับในช่วง 6 เดือน หากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง"นางสาวศรีเนตรกล่าว
สำหรับ กองทุน KPF6M1 นี้จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนคุณภาพดี ที่มีระดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ A- ขึ้นไป อาทิ ตั๋วแลกเงินของ บ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน), บ.น้ำตาลมิตรผล จำกัด, บ.อยุธยา ดิเวลลอปเม้น ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน), บ. ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และบ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
นางสาวศรีเนตร กล่าวอีกว่า บริษัทเอกชนเหล่านี้ถือเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการดำเนินธุรกิจที่ดี และพร้อมให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่าเงินฝากและพันธบัตรรัฐบาลไทย ผู้ลงทุนสามารถมั่นใจได้ เนื่องจากพรีมาเวสท์จะให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการคัดเลือกบริษัทผู้ออกตราสาร โดยจะวิเคราะห์จากแนวโน้มของอุตสาหกรรม ลักษณะธุรกิจของบริษัท รวมถึงฐานะทางการเงิน และความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก จึงถือได้ว่ากองทุน KPF6M1 สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ ในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงแบบนี้
อนึ่ง เป้าหมายของบลจ.พรีมาเวสท์ในปีนี้ นางสาวศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด ได้เคยเปิดเผยว่า จะพยายามขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสำหรับธุรกิจกองทุนรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 60% หรือคิดเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น 6,000 ล้านบาท จากสินทรัพย์รวมประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งหากเป็นไปตามเป้า จะทำให้สินทรัพย์ทั้งปีนี้ขยบัขึ้นไปอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ล่าสุด ณ เดือนมกราคม 2552 สินทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านหรือเติบโตขึ้น 2% แล้ว โดยเงินที่ไหลเข้ามาดังกล่าว มาจากกองทุนทุกประเภท ซึ่งรวมถึงกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ มันนี่ (KPM) ที่ขยายตัวค่อนข้างมาก เนื่องจากนักลงทุนยังเห็นว่าให้ผลตอบแทนที่ดี ล่าสุด กองทุนมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 2,261.13 ล้านบาท จากปลายปีที่มีเงินลงทุนเพียง 1,240.28 ล้านบาท
สำหรับกองทุนที่บลจ.พรีมาเวสท์วางแผนจะนำเสนอให้กับนักลงทุนในปีนี้ จะทยอยเปิดขายเดือนละ 1 กองทุนรวมทั้งสิ้น 12 กองทุน ประกอบด้วยกองทุนตราสารหนี้ ที่ลงทุนทั้งในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) และกองทุนต่างประเทศที่จะลงทุนในดัชนีอีทีเอฟของสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทใดประเภทหนึ่ง ส่วนกองทุนหุ้นในประเทศที่อาจจะนำกลับมาปัดฝุ่นทำการตลาดอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นปรับลดลงค่อนข้างมาก
