บลจ.แอสเซท พลัส ระบุเอ็นเอวีกองบอนด์ในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 5 % ได้อานิสงส์เปิดขายกองทุนประเภท Roll-over ทั้ง3 เดือน 6 เดือนต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดซื้อ-ขายรอบใหม่ ของ"กองทุนเปิดแอสเซทพลัส แอ็คทีฟพันธบัตร 1" ที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยมีรอบการลงทุนประมาณ 6 เดือน ชูผลตอบแทน 1.15%
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ในส่วนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมประเภทตราสารหนี้ในประเทศของบริษัทสิ้นสุดเดือนมกราคมที่ผ่านมา พบว่าเพิ่มขึ้น 5.05% จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนที่ 11,604.54 ล้านบาท เป็น 12,191.06 ล้านบาท จากกองทุนประเภท Roll-over 3 เดือน 6 เดือน และประเภทยืดหยุ่นระยะเวลาตามความเหมาะสมของภาวะตลาด
สำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้น้อย และมีความสนใจลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี ในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในวันที่ 4 มีนาคม 2552 บริษัทจะเปิดขายและรับซื้อคืนใหม่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟพันธบัตร1 (ASP-ACGOV1) ซึ่งผลตอบแทนประมาณการที่ 1.15%ต่อปี จากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลรุ่น TB09826A ในสัดส่วน 80% และตั๋วแลกเงินธนาคารทิสโก้ ในสัดส่วน 20%
โดย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟพันธบัตร 1 (Asset Plus Active Government Bond Fund 1) (ASP-ACGOV1) เป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ที่ไม่กำหนดอายุโครงการ โดยได้รับอนุมัติให้จัดตั้งและจัดการกองทุนรวมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2551
ทั้งนี้ บริษัทจัดการได้มีนโยบายที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทย และหรือ ตราสารภาครัฐต่างประเทศ เมื่อรวมกันแล้ว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะมุ่งเน้นลงทุนในตราสารที่มีอายุคงเหลือใกล้เคียงกับรอบระยะเวลาการลงทุนในแต่ละรอบ โดยส่วนที่เหลืออาจจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาคเอกชน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารทางการเงิน และ/หรือเงินฝาก กองทุนอาจเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) โดยจะไม่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note)
ด้านนางสาวสุทธินี สิมะกุลธร ผู้จัดการกองทุน บลจ. แอสเซทพลัส จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง.ได้ประกาศปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.50% เหลือเพียง 1.5%นั้น ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต่างทยอยปรับลดดอกเบี้ยทั้งด้านเงินฝากและเงินกู้ลงมา จึงส่งผลให้ต้นทุนในการดำเนินงานของธุรกิจลดต่ำลง และอาจกดดันทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ แต่อย่างไรก็ตาม การปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ อาจไม่ได้ส่งผลมากนัก เนื่องจากปัญหาสภาพคล่องของธุรกิจ ทำให้ธนาคารมีความกังวล และขาดความเชื่อมั่นในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจ
“การลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงนี้ โดยเฉพาะผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้น้อย จึงอยากแนะนำให้นักลงทุนลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่ได้รับจะลดลงมากแล้ว แต่ยังคงมีความมั่นคง หรืออาจเลือกลงทุนผสมระหว่างพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชนอายุสั้น ๆ ประมาณ 3-6 เดือน ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับยังคุ้มค่ากับความเสี่ยงในการลงทุน “นางสาวสุทธินีกล่าว
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการเปิดขายและรับซื้อคืนใหม่ ของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีเงินออม 2 (ASP-MMF2) โดยกองทุนให้ผลตอบแทนประมาณการขั้นต่ำที่ 2.80% ต่อปี จากการลงทุนในตั๋วแลกเงินอายุประมาณ 6 เดือน ซึ่งกองทุนดังกล่าวสามารถระดมทุนจากนักลงทุนได้ 745.25 ล้านบาท
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ในส่วนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมประเภทตราสารหนี้ในประเทศของบริษัทสิ้นสุดเดือนมกราคมที่ผ่านมา พบว่าเพิ่มขึ้น 5.05% จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนที่ 11,604.54 ล้านบาท เป็น 12,191.06 ล้านบาท จากกองทุนประเภท Roll-over 3 เดือน 6 เดือน และประเภทยืดหยุ่นระยะเวลาตามความเหมาะสมของภาวะตลาด
สำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้น้อย และมีความสนใจลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี ในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในวันที่ 4 มีนาคม 2552 บริษัทจะเปิดขายและรับซื้อคืนใหม่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟพันธบัตร1 (ASP-ACGOV1) ซึ่งผลตอบแทนประมาณการที่ 1.15%ต่อปี จากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลรุ่น TB09826A ในสัดส่วน 80% และตั๋วแลกเงินธนาคารทิสโก้ ในสัดส่วน 20%
โดย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟพันธบัตร 1 (Asset Plus Active Government Bond Fund 1) (ASP-ACGOV1) เป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ที่ไม่กำหนดอายุโครงการ โดยได้รับอนุมัติให้จัดตั้งและจัดการกองทุนรวมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2551
ทั้งนี้ บริษัทจัดการได้มีนโยบายที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทย และหรือ ตราสารภาครัฐต่างประเทศ เมื่อรวมกันแล้ว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะมุ่งเน้นลงทุนในตราสารที่มีอายุคงเหลือใกล้เคียงกับรอบระยะเวลาการลงทุนในแต่ละรอบ โดยส่วนที่เหลืออาจจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาคเอกชน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารทางการเงิน และ/หรือเงินฝาก กองทุนอาจเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) โดยจะไม่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note)
ด้านนางสาวสุทธินี สิมะกุลธร ผู้จัดการกองทุน บลจ. แอสเซทพลัส จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง.ได้ประกาศปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.50% เหลือเพียง 1.5%นั้น ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต่างทยอยปรับลดดอกเบี้ยทั้งด้านเงินฝากและเงินกู้ลงมา จึงส่งผลให้ต้นทุนในการดำเนินงานของธุรกิจลดต่ำลง และอาจกดดันทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ แต่อย่างไรก็ตาม การปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ อาจไม่ได้ส่งผลมากนัก เนื่องจากปัญหาสภาพคล่องของธุรกิจ ทำให้ธนาคารมีความกังวล และขาดความเชื่อมั่นในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจ
“การลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงนี้ โดยเฉพาะผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้น้อย จึงอยากแนะนำให้นักลงทุนลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่ได้รับจะลดลงมากแล้ว แต่ยังคงมีความมั่นคง หรืออาจเลือกลงทุนผสมระหว่างพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชนอายุสั้น ๆ ประมาณ 3-6 เดือน ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับยังคุ้มค่ากับความเสี่ยงในการลงทุน “นางสาวสุทธินีกล่าว
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการเปิดขายและรับซื้อคืนใหม่ ของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีเงินออม 2 (ASP-MMF2) โดยกองทุนให้ผลตอบแทนประมาณการขั้นต่ำที่ 2.80% ต่อปี จากการลงทุนในตั๋วแลกเงินอายุประมาณ 6 เดือน ซึ่งกองทุนดังกล่าวสามารถระดมทุนจากนักลงทุนได้ 745.25 ล้านบาท