xs
xsm
sm
md
lg

แอสเซทพลัสมองดัชนีหุ้นไร้ปัจจัยบวก แนะทยอยลงทุนลดความผันผวนราคา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.แอสเซทพลัส มองตลาดหุ้นแกว่งตัวในกรอบแคบ เหตุไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนนำตลาด แต่ไม่วายหวั่นการเมืองภายในประเทศส่อเค้ากลับมาวุ่นวายอีกครั้ง คาดดัชนีหุ้นเคลื่อนไหวระหว่าง 420 – 450 จุด แนะลงทุนกองทุนหุ้นแบบทยอยลงทุน เพื่อช่วยเฉลี่ยต้นทุน และลดความผันผวนจากราคาหุ้น ส่วนทิศทางดอกเบี้ย ได้เห็นที่ระดับ 1% ล่าสุด เปิดโรลโอเวอร์กองทุนหุ้นกู้ 6 เดือน คาดการณ์ผลตอบแทน 2.35% ต่อปี

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างเงียบ โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความกังวลในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัวซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯจึงไม่ค่อยมีการซื้อขายมากนัก ซึ่งล่าสุดจากการประกาศตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส 4/2551 ติดลบ 4.3% โดยสภาพัฒน์ฯ ได้ปรับลดประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2552 ลงไปที่กรอบ -1% ถึง 0%

“คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะแกว่งตัวในกรอบแคบ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญๆ ทั้งภายนอกและภายในประเทศต่อไป รวมถึงปัจจัยทางด้านการเมืองภายในประเทศที่อาจกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าเคลื่อนไหวระหว่าง 420 – 450 จุด”

นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวว่า ส่วนการลงทุนของกองทุนตราสารทุน ผู้ลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นทยอยลงทุนมากกว่า เนื่องจากทิศทางของตลาดค่อนข้างซึมๆ ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ถูกต้องเนื่องจากช่วยเฉลี่ยต้นทุนในด้านความผันผวนของราคา โดยกองทุนหุ้นที่ลูกค้าให้ความสนใจลงทุนเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF ) เนื่องจากต้องการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีและลงทุนยาว ซึ่งสำหรับ บลจ.แอสเซทพลัส ลูกค้าจะทยอยลงทุนทั้งแบบประเภทดูจังหวะลงทุนเอง และแบบหักบัญชีอัตโนมัติ

สำหรับบริการ Asset Plus Saving Plan ลูกค้าสามารถหักบัญชี เพื่อซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน LTF และ RMF ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกตัดบัญชีได้กับ 3 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งผู้ลงทุนจะไม่เสียค่าธรรมเนียมการหักบัญชีธนาคาร โดยบริษัทเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าวการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนนั้นมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการกระจายเงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเฉลี่ยต้นทุนและกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ลดความกังวลเรื่องความผันผวนของราคาสินทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะกองทุน RMF ที่ลงทุนในหุ้น และกองทุน LTF ที่ตลาดอาจมีความผันผวน

ในส่วนการขายคืนหน่วยลงทุน บลจ.แอสเซท พลัส ได้กำหนดให้สามารถขายคืนได้ทุกวันทำการ ก่อนเวลา 12.00 น. สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนมาแล้วอย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน และในส่วนที่ลงทุนยังไม่ครบ 5 ปีปฏิทินจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ปีละ 2 ครั้ง ในวันที่ 2 และ 16 ของเดือนมกราคมและกรกฎาคม เพื่อช่วยให้ผู้ถือหน่วยลงทุนลงทุนได้ครบถ้วน ไม่ผิดเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดซึ่งจะทำให้เกิดความยุ่งยากของผู้ลงทุน

สำหรับกองทุน LTF และ RMF ของบลจ.แอสเซท พลัส มีหลายกองทุนด้วยกัน ได้แก่ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มี 2 กองทุน คือ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสหุ้นระยะยาว (ASP-LTF) และกองทุนเปิดแอสเซทพลัสหุ้นระยะยาวทวีกำไร (ASP-GLTF) ส่วนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มี 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (ASP-FRF) กองทุนเปิดแอสเซทพลัสหุ้นผสมตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (ASP-MRF) และกองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (ASP-ERF)
นางสาวสุทธินี สิมะกุลธร
ด้านนางสาวสุทธินี สิมะกุลธร ผู้จัดการกองทุน บลจ. แอสเซทพลัส กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% เหลือ 1.50% ตามตลาดคาดการณ์ไว้ โดยมีความเชื่อว่านโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องจะสามารถกระตุ้นให้เกิดการฟื้นตัว และสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยปรับลดดอกเบี้ยเงินฝาก โดยในส่วนส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อาจทยอยปรับลดตามมาแต่อาจไม่มากนัก ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นี้จะช่วยให้ต้นทุนของธุรกิจลดลง และทำให้เกิดการลงทุนมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย เชื่อว่าในปีนี้ยังอยู่ในช่วงขาลง โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.0% ในการประชุมครั้งต่อไป และมีโอกาสจะลดต่ำกว่า 1.0% ในการประชุมที่เหลืออีก 4 ครั้งของปีนี้

“หลังจากตัวเลข GDP Growth ไตรมาส 4/51 ที่ได้ประกาศออกมาติดลบถึง 4.3% และมีแนวโน้มว่าอาจจะติดลบอีกใน 2 ไตรมาสแรกของปี 52 จึงคาดว่า กนง.มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่ำกว่า 1.0% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ” นางสาวสุทธินี กล่าว

ทั้งนี้ ในวันที่ 2 มีนาคม 2552 บริษัทฯ จะเปิดขายและรับซื้อคืนใหม่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 5 (ASP-ACFIXED5) เพื่อเป็นทาเงลือกให้นักลงทุน โดยผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 2.35% ต่อปี จากการลงทุนในตั๋วแลกเงินอายุประมาณ 6 เดือน ที่ผู้ออกได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ A- ขึ้นไป เช่น บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) บมจ.ภัทรลิสซิ่ง (PL) และ บมจ. โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา (CENTEL)
กำลังโหลดความคิดเห็น