ตลาดหลักทรัพย์ฯ งัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบจูงใจเอกชนเข้าระดมทุน หลังผลงานไตรมาสแรกยังพลาดเป้า ล่าสุดเตรียมหารือคณะกรรมการตลาดหุ้นปรับลดเกณฑ์เกณฑ์ขั้นต่ำการกระจายหุ้นไอพีโอ หวังเปิดทางอันเดอร์ไรท์ พร้อมคาดการณ์ปีนี้มีบริษัทยื่นไฟลิ่งเพิ่มอีก 30 ราย
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยถึง นโยบายการปรับปรุงหลักเณฑ์ที่จะเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียน ว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังพิจารณาทบทวนปรับลดการจัดสรรหุ้นที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ ที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 300-500 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้บริษัทที่ต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องกระจายหุ้นไอพีไอไม่ต่ำกว่า 20% และบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอไม่ต่ำกว่า 25% ซึ่งการปรับลดเกณฑ์การจัดสรรหุ้นไอพีโอขึ้นต่ำครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้มีจำนวนบริษัทจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้น
“ในช่วงปลายปี 2551 ที่ผ่านมา มีบริษัทที่อยู่ระหว่างการรอเข้าจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดเอ็มเอไอ เป็นจำนวนมาก แต่ยังติดปัญหาและอุปสรรคหลายประเทศทำให้ไม่สามารถเข้าจดทะเบียนได้ รวมทั้งยังมีความกังวลว่าจะไม่สามารถขายหุ้นไอพีโอได้หมด เพราะในช่วงที่ผ่านมาภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย ทำให้มีความกลัวว่าการกำหนดเกณฑ์การกระจายหุ้นสูง ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นอุปสรรค จนบริษัทไม่อยากเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น"นายชนิตร กล่าว
ทั้งนี้ หากเรื่องดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว จะต้องเสนอให้ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ได้ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ หลังจากได้รับอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนจะผ่อนปรนการเก็บค่าธรรมเพิ่มในบริษัทจดทะเบียนที่มีฟรีโฟรทต่ำกว่า 15% จากเดิมที่กำหนดหากบริษัทแห่งใดมีฟรีโฟรทต่ำกว่าเกณฑ์จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมมเพิ่มตามสัดส่วนของฟรีโฟรทที่ลดลง โดยหวังว่าการผ่อนปรนเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อหวังช่วยบริษัทจดทะเบียนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
นายชนิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2552 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดการณ์จะมีบริษัทที่จะขอยื่นไฟลิ่งใหม่เพิ่มประมาณ 30 แห่ง ภายหลังจากทิศทางการเมืองภายในประเทศเริ่มดีขึ้น จากปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบริษัทที่ได้ผ่านการอนุมัติจาก ก.ล.ต. และเหลือเพียงแค่รอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 15 แห่ง โดยแบ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 7 บริษัท และตลาดเอ็มเอไอจำนวน 8 แห่ง รวมทั้งยังมีอีกประมาณ 10 บริษัทที่กำลังอยู่ระหว่างการยื่นไฟลิ่ง
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทโปร แมเนจเม้นท์จำกัด หรือ APM กล่าวว่า การปรับลดเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับบการกระจายหุ้นให้กับประชาชนนในครั้งแรกถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับบสถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบัน เนื่องจากการกำหนดอัตรการกระจายหุ้นขึ้นต่ำไว้สูงเกินไปอาจจะส่งผลทำให้ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นทำได้ยากมากขึ้น
“ขณะนี้ภาวะตลาดหุ้นไม่คึกคัก ทำให้นักลงทุนไม่ค่อยสนใจจองซื้อหุ้นไอพีโอมากนัก อาจจะทำให้อันเดอร์ไรท์ขายหุ้นไม่หมด เมื่อมีการปรับลดเกณฑ์ขั้นต่ำการรกระจายหุ้นจะเปิดโอกาสให้อันเดอร์ไรท์ทำงานได้สะดวก”
นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานกำกับตลาดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมที่จะผ่อนปรนเกณฑ์การเก็บค่าธรรมเนียม ส่วนเพิ่มกรณีที่บริษัทจดทะเบียนมีฟรีโฟลทต่ำกว่า 15% โดยขณะนี้อยู่ระหว่างที่คณะกรรมการกำลังพิจารณาถึงกฏเกณฑ์ต่างๆ โดยมองว่าน่าจะช่วยบริษัทจดทะเบียนในการแง่ของการลดภาระในการจ่ายค่าธรรมเนียมและพยายามไม่ให้กฏเกณฑ์เป็นอุปสรรคในการดำเนินงานภายใต้ภาวะที่เศรษฐกิจขณะนี้ชะลอตัว
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยถึง นโยบายการปรับปรุงหลักเณฑ์ที่จะเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียน ว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังพิจารณาทบทวนปรับลดการจัดสรรหุ้นที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ ที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 300-500 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้บริษัทที่ต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องกระจายหุ้นไอพีไอไม่ต่ำกว่า 20% และบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอไม่ต่ำกว่า 25% ซึ่งการปรับลดเกณฑ์การจัดสรรหุ้นไอพีโอขึ้นต่ำครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้มีจำนวนบริษัทจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้น
“ในช่วงปลายปี 2551 ที่ผ่านมา มีบริษัทที่อยู่ระหว่างการรอเข้าจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดเอ็มเอไอ เป็นจำนวนมาก แต่ยังติดปัญหาและอุปสรรคหลายประเทศทำให้ไม่สามารถเข้าจดทะเบียนได้ รวมทั้งยังมีความกังวลว่าจะไม่สามารถขายหุ้นไอพีโอได้หมด เพราะในช่วงที่ผ่านมาภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย ทำให้มีความกลัวว่าการกำหนดเกณฑ์การกระจายหุ้นสูง ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นอุปสรรค จนบริษัทไม่อยากเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น"นายชนิตร กล่าว
ทั้งนี้ หากเรื่องดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว จะต้องเสนอให้ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ได้ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ หลังจากได้รับอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนจะผ่อนปรนการเก็บค่าธรรมเพิ่มในบริษัทจดทะเบียนที่มีฟรีโฟรทต่ำกว่า 15% จากเดิมที่กำหนดหากบริษัทแห่งใดมีฟรีโฟรทต่ำกว่าเกณฑ์จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมมเพิ่มตามสัดส่วนของฟรีโฟรทที่ลดลง โดยหวังว่าการผ่อนปรนเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อหวังช่วยบริษัทจดทะเบียนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
นายชนิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2552 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดการณ์จะมีบริษัทที่จะขอยื่นไฟลิ่งใหม่เพิ่มประมาณ 30 แห่ง ภายหลังจากทิศทางการเมืองภายในประเทศเริ่มดีขึ้น จากปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบริษัทที่ได้ผ่านการอนุมัติจาก ก.ล.ต. และเหลือเพียงแค่รอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 15 แห่ง โดยแบ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 7 บริษัท และตลาดเอ็มเอไอจำนวน 8 แห่ง รวมทั้งยังมีอีกประมาณ 10 บริษัทที่กำลังอยู่ระหว่างการยื่นไฟลิ่ง
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทโปร แมเนจเม้นท์จำกัด หรือ APM กล่าวว่า การปรับลดเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับบการกระจายหุ้นให้กับประชาชนนในครั้งแรกถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับบสถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบัน เนื่องจากการกำหนดอัตรการกระจายหุ้นขึ้นต่ำไว้สูงเกินไปอาจจะส่งผลทำให้ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นทำได้ยากมากขึ้น
“ขณะนี้ภาวะตลาดหุ้นไม่คึกคัก ทำให้นักลงทุนไม่ค่อยสนใจจองซื้อหุ้นไอพีโอมากนัก อาจจะทำให้อันเดอร์ไรท์ขายหุ้นไม่หมด เมื่อมีการปรับลดเกณฑ์ขั้นต่ำการรกระจายหุ้นจะเปิดโอกาสให้อันเดอร์ไรท์ทำงานได้สะดวก”
นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานกำกับตลาดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมที่จะผ่อนปรนเกณฑ์การเก็บค่าธรรมเนียม ส่วนเพิ่มกรณีที่บริษัทจดทะเบียนมีฟรีโฟลทต่ำกว่า 15% โดยขณะนี้อยู่ระหว่างที่คณะกรรมการกำลังพิจารณาถึงกฏเกณฑ์ต่างๆ โดยมองว่าน่าจะช่วยบริษัทจดทะเบียนในการแง่ของการลดภาระในการจ่ายค่าธรรมเนียมและพยายามไม่ให้กฏเกณฑ์เป็นอุปสรรคในการดำเนินงานภายใต้ภาวะที่เศรษฐกิจขณะนี้ชะลอตัว
