xs
xsm
sm
md
lg

ชะตา..กองทุนรวมปีฉลู วัดกันที่เงินไหลกลับจากแดนโสม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าธุรกิจกองทุนรวมในปีนี้ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้การเลือกสรรผลิตภัณฑ์กองทุนรวมในปีนี้ยังคงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง และการครบกำหนดอายุไถ่ถอนของกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) โดยเฉพาะกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ที่จะส่งผลต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่วนกองทุนที่คาดว่าจะยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจได้แก่ กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น กองทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชน และกองทุนที่ลงทุนในหุ้นทุนที่มุ่งเน้นผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล

ภาพรวมธุรกิจกองทุนรวมในปี 2551

มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวม ณ สิ้นปี 2551 หดตัวลง 4.80% จากสิ้นปี 2550 เมื่อพิจารณาแยกประเภทตามนโยบายการลงทุน พบว่ากองทุนที่ NAV ปรับลดลงนำโดยกองทุนรวมแบบผสมที่ NAV หดตัวมากถึง 81.04% ซึ่งมาจากการที่นักลงทุนโยกย้ายการลงทุนไปยังกองทุนรวมประเภทอื่นๆ เช่น กองทุนรวมประเภทตราสารทุน หรือกองทุนรวมประเภทตราสารหนี้
 
ขณะที่กองทุนที่มี NAV เพิ่มขึ้นได้แก่ กองทุนรวมประเภทตราสารทุน กองทุนรวมประเภทตราสารหนี้ รวมทั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยกองทุนรวมประเภทตราสารทุนมี NAV ขยับขึ้นถึง 94.57% ทั้งที่ภาวะตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ต้องเผชิญกับการปรับตัวลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก และเมื่อพิจารณาแยกเป็นกองทุนรวมแบบพิเศษพบว่า NAV ของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ปรับขึ้น 3.98% โดยมาจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เพิ่มขึ้นในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี ทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ แม้ว่าในปี 2551 ตลาดต่างประเทศต้องเผชิญกับความผันผวนทั้งในตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก แต่ NAV ของกองทุน FIF ณ สิ้นปี 2551 กลับขยับขึ้นเมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2550 ซึ่งคงจะมีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นทางด้านปริมาณที่ บลจ.มีการนำเสนอออกมาเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 โดยมีจำนวนมากถึง 166 กองจากปีก่อนหน้า
ส่วนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) นั้น NAV ขยับลง 7.99% โดยมาจากการที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ดิ่งลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2551 เพราะถูกกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วทุกภูมิภาค ตลอดจนภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน ซึ่งจะเห็นว่าแม้รัฐบาลได้เพิ่มสิทธิการลดหย่อนภาษีให้กับผู้ที่ซื้อกองทุน LTF และ RMF โดยขยายเพดานการหักลดหย่อนภาษีไปที่ 700,000 บาท/ปี จากเดิมที่ 500,000 บาท/ปี สำหรับปีภาษี 2551ในช่วงระหว่าง ต.ค.-ธ.ค.51 แต่การดำเนินการดังกล่าวก็ไม่สามารถจะช่วยให้ NAV ของกองทุน LTF พลิกกลับมาเติบโตได้ เพราะนักลงทุนพากันหลีกเลี่ยงความเสี่ยงท่ามกลางภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย

แนวโน้มธุรกิจกองทุนรวมในปี 2552

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าท่ามกลางความเสี่ยงทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศที่ยังมีอยู่ในระดับสูง ปี 2552 น่าจะยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับ บลจ.ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้เพราะแม้ว่าผู้ออมเงินจะมีความสนใจในช่องทางการลงทุนอื่นๆ ที่ให้อัตราผลตอบแทนในระดับที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ แต่บลจ.ต่างๆ ยังคงเผชิญกับโจทย์ท้าทายภายใต้ภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยเช่นนี้ในการที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือกองทุนรวมที่ตอบรับความต้องการของผู้ออมหรือนักลงทุนได้อย่างครบครัน ทั้งในแง่ของอัตราผลตอบแทนในระดับที่จูงใจและความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ ส่งผลให้การเลือกสรรผลิตภัณฑ์กองทุนรวมของบลจ.ในปีนี้ ยังคงจะเป็นไปในเชิงที่ระมัดระวัง


ปัจจัยที่คาดว่าจะมีอิทธิพลที่สำคัญได้แก่

แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย อันเป็นผลมาจากภาวะถดถอยของเศรษฐกิจชั้นนำของโลก ตลอดจนปัจจัยลบในประเทศ เช่น ภาคการผลิตชะลอตัว ตลอดจนปัญหาการว่างงานซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้และกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเศรษฐกิจไทยอาจเผชิญกับ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค หรือมีอัตราการเติบโตที่ติดลบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเป็นเวลา 2 ไตรมาสติดกัน ในไตรมาสที่ 4/2551 และไตรมาสที่ 1/2552 รวมถึงมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2/2552 ดังนั้นผู้บริโภคและผู้มีเงินออมจึงน่าจะใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการตัดสินใจลงทุน

ขณะเดียวกันทิศทางเศรษฐกิจที่ยังไม่สดใสยังจะกระทบบรรยากาศการลงทุนในบางตลาด อาทิ ตลาดหุ้น อีกด้วย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจึงเป็นการยากที่การลงทุนในกองทุนรวมจะหลีกเลี่ยงผลกระทบดังกล่าว

ความผันผวนของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก นอกจากวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลกจะมีผลต่อเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อ การใช้จ่าย และการออมของประชาชนแล้ว ความเสี่ยงเครดิตและความเสี่ยงคู่ค้า ตลอดจนความผันผวนของราคาสินทรัพย์บางประเภท เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ ยังมีผลต่อความเคลื่อนไหวในตลาดการเงิน ทำให้ธุรกรรมการซื้อขายเป็นไปด้วยความรอบคอบระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งความต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ก็อาจทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ รวมทั้งกองทุนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทุน FIF นอกจากนี้เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความเสี่ยงที่มากขึ้นจากปัญหาวิกฤตการเงิน ทำให้บางประเทศถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงไป และหลายประเทศก็กำลังจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอีกเช่นกัน ซึ่งจะะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง แม้อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาลงจะเป็นผลบวกต่อการลงทุนในกองทุนรวมประเภทตราสารหนี้ตามราคาพันธบัตรที่ปรับขึ้น แต่แนวโน้มเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่คงจะมีระดับต่ำและมีความชันน้อย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 คงจะทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับเหนืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีไม่มาก และก็อาจเป็นปัจจัยที่จำกัดเม็ดเงินลงทุนที่จะเข้าสู่กองทุนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทนสูง

การครบกำหนดอายุไถ่ถอนของกองทุน FIF โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ทยอยครบกำหนดอายุไถ่ถอน ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลกลับมา โดยคาดว่ามีมูลค่า 2.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้หากการนำเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนรวมของบลจ. ไม่สามารถดูดซับการครบกำหนดอายุไถ่ถอนของกองทุนดังกล่าวได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็อาจมีผลต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การปรับลดวงเงินสูงสุดในการหักค่าลดหย่อนของกองทุน RMF และกองทุน LTF จาก 700,000 บาท ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2551 มาเป็น 500,000 บาท ตามเกณฑ์เดิมในปี 2552 ทั้งนี้แม้ว่าในปีนี้การขยายเพดานการหักลดหย่อนภาษีจะไม่เหมือนในปีที่ผ่านมา แต่ถ้าลูกค้าส่วนใหญ่ของ บลจ.เข้าซื้อกองทุน RMF และ LTF ยังไม่ถึงวงเงินสูงสุด ก็น่าจะมีพื้นที่ให้ บลจ.ต่างๆ ขยายตลาดกองทุนดังกล่าวออกมาได้อีกในปี 2552 นอกจากนี้ถ้าตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวเนื่องจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย ก็อาจจะเป็นปัจจัยที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับการลงทุนในกองทุน RMF และ LTF มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การเลือกลงทุนในกองทุนรวมนั้น ควรจะขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนแต่ละคนคาดหวังไว้ ตลอดจนความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ โดยกองทุนที่คาดว่าจะยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่างๆ มีดังต่อไปนี้

กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น แม้ว่านักลงทุนจะคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยยังจะมีทิศทางการปรับลดลง ทำให้นักลงทุนน่าจะเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาวมากกว่า เพื่อเป็นการล็อคอัตราผลตอบแทนพันธบัตรก่อนที่จะปรับลดลงอีกในระยะข้างหน้า แต่ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความเสี่ยงเครดิตสูง ตลอดจนความผันผวนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งอาจจะเลือกที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจ รวมทั้งพักเงินไว้กับการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นแทน แม้ว่าผลตอบแทนที่ได้จะเป็นไปตามดอกเบี้ยในตลาดเงินซึ่งอาจจะอยู่ในระดับที่ไม่สูงนักก็ตาม

กองทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชน น่าจะเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลหรือเงินฝาก โดยบริษัทต่างๆ จะนำเสนออัตราอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้อยู่ที่ประมาณ 4.0-6.0% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ระดับ 2.1-2.7% ที่ระยะเวลาการครบอายุที่เท่ากัน (อายุ 3-5 ปี) ดังนั้นการลงทุนในกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีอันดับความเชื่อถืออยู่ในระดับที่ดี น่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเนื่องจากสามารถสร้างผลตอบแทนในอัตราที่ค่อนข้างสูง

กองทุนที่ลงทุนในหุ้นทุน (เงินปันผล) เหมาะกับนักลงทุนที่คาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนในอนาคต มีสภาพคล่องทางการเงินสูง และสามารถยอมรับความเสี่ยงในระดับสูงได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลายลง และเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 หลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นต่างๆ ได้ปรับตัวลงมารับข่าวร้ายในช่วงก่อนหน้าไปในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะเป็นช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลคงจะเริ่มส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมากขึ้น กระนั้นก็ดีการลงทุนในหุ้นควรจะเป็นการลงทุนในระยะยาวเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการผันผวนขึ้นลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์
กำลังโหลดความคิดเห็น