บลจ. ธนชาต เผยกองทุนมันนี่มาร์เก็ตคึกคัก โดยเฉพาะกองทุน "T-CASH" หลังแบงก์พาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เดินหน้าปรับพอร์ตถือบอนด์ยาวขึ้นกว่าเดิมอีก 3 เดือน พร้อมเล็งเพิ่มทุน หลังเอ็นเอวีปรับเพิ่มกว่า 3 หมื่นล้านบาท
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์มีการปรับตัวลง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในกองทุนมันนีมาร์เก็ตที่บริษัทบริหารจัดการอยู่เพิ่มมากขึ้น เพราะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ทั้งนี้ ในส่วนของกองทุนมันนีมาร์เก็ตนั้น บริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนบริหารพอร์ตการลงทุนบ้างเล็กน้อย จากเดิมที่เคยเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุประมาณ 3 - 6 เดือน ปัจจุบันหันมาลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้นอีก 3 เดือน
ทั้งนี้ ในส่วนของกองทุนเปิดธนชาตบริหารเงิน หรือ T-CASH ที่นักลงทุนหันมาลงทุนแทนการฝากเงินในธนาคารนั้น ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือเอ็นเอวีที่เพิ่มขึ้นเป็น 30,241.29 ล้านบาท โดยในอนาคตบริษัทอาจจะมีการเพิ่มทุนขึ้นอีก เนื่องจากเกณฑ์การเพิ่มทุนสามารถทำได้ เพราะผลการดำเนินงานเกินกว่า 75% แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงต้องรอดูถึงสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจให้แน่ชัดเสียก่อน ส่วนกองทุนเปิดธนชาตตลาดเงิน หรือ T-MONEY ปัจจุบันมีเอ็นเอวีอยู่ที่ 3,618.51 ล้านบาท
นอกจากนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีการปรับลดลง บริษัทเองก็ยังเน้นออกกองทุนรวมตราสารหนี้เป็นหลักด้วย เนื่องจากกองทุนประเภทดังกล่าวสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่ำด้วย โดยบริษัทจะเน้นการลงทุนให้มีความหลากหลาย ซึ่งในบางกองทุนอาจจะเข้าไปลงทุนในหุ้นกู้ หรือพันธบัตรรัฐบาล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้มีทางเลือกแก่นักลงทุนมากขึ้น
นายบุญชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของราคาทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนบางรายหันเข้าไปลงทุนบ้างเล็กน้อย ทำให้กองทุนมันนี่มาร์เก็ตที่บริหารจัดการอยู่ได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย เพราะเนื่องจากมีนักวิเคราะห์บางรายต่างวิเคราะห์ว่าราคาของทองคำที่เกิดขึ้นยังมีความไม่แน่นอน เพราะยังสามารถผันผวนได้ตลอดเวลา
สำหรับกองทุนเปิด T-CASH ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.59% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.16% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.92% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.57% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.87% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.73% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 3.70% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 2.37% และผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 3.64% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 2.29% ส่วนมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 11.27 บาทต่อหน่วย
ขณะที่สัดส่วนการลงทุน ณ วันที่ 30 มกราคม 2552 แบ่งออกเป็น พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 48.67% , พันธบัตรรัฐบาล ที่ค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง 13.46% , หุ้นกู้ภาคเอกชน 1.04% , หุ้นกู้สถาบันการเงิน 0.34% , ตั๋วแลกเงิน 23.41% , ตั๋วสัญญาใช้เงิน 6.42% ส่วนผู้ออกหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน 5 อันดับแรกประกอบด้วย 1. ธนาคารแห่งประเทศไทย 48.67% 2. กระทรวงการคลัง 13.46% 3. บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด 0.60% 4. บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด 0.43% 5. ธนาคารกรุงไทย 0.34%
ทั้งนี้กองทุนเปิด T-CASH เน้นลงทุนในเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ ธุรกรรมทางการเงิน หรือตราสารทางการเงินอื่นใด ที่มีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถาม หรือจะครบกำหนดชำระคืนหรือมีอายุสัญญาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลงทุน และอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ทั้งนี้ จะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ตอบแทนและตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร โดยการลงทุนดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
ส่วนกองทุนเปิด T-MONEY ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.09% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.16% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.69% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.57% และผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 2.79% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.73% และมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 10.26 บาทต่อหน่วย ขณะที่สัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐวิสาหกิจอยู่ที่ 98.68% , พันธบัตรรัฐบาลที่ค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง 0.80%
นอกจากนี้กองทุนเปิด T-MONEY เน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่เป็นตราสารภาครัฐไทย เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาลหรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตร ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หุ้นกู้ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ ที่กระทรวงการคลังหรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้ออก ผู้สั่งจ่าย ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกันหรือตราสารที่เปลี่ยนมือได้ และหรือเงินฝาก หรือตราสารเทียบเท่าเงินสด รวมถึงตราสารทางการเงิน หลักทรัพย์ หรือการหาดอกผลด้วยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.กำหนด หรือเห็นชอบให้ลงทุนได้ ที่มีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถาม หรือจะครบกำหนดชำระคืนหรือมีอายุสัญญาไม่เกินหรือประมาณ 3-4 เดือนนับแต่วันที่ลงทุนในทรัพย์สินหรือเข้าทำสัญญาเหล่านั้น ทั้งนี้ กองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง
