ASTVผู้จัดการรายวัน - ผู้บริหารบลจ. คาดการณ์แนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเริ่มมีโอกาสน้อยลง เหตุภาครัฐเน้นออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐด้านอื่นแทน ขณะที่การลงทุนบอนด์ต่างประเทศ โอกาสลงทุนยังมีน้อยเช่นกัน แม้ว่าหลายประเทศให้ยิลด์สูง ย้ำต้องดูไปถึงนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนหุ้นกู้เอกชน ควรเลือกบริษัทที่รักษายอดขายไว้ได้ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
นายกำพล อัศวกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนตัวแทนขาย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในตราสารหนี้ว่า จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศนั้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ปรับลดลงตามไปด้วย แต่แนวโน้มในช่วงต่อจากนี้ คาดว่าโอกาสในการที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงนั้นจะมีน้อยลง แต่จะมีการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่นๆเข้ามากระตุ้นแทน ซึ่งจะส่งผลไปถึงการลงทุนในตราสารหนี้ด้วยเช่นกัน
ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศนั้น จากสถานการณ์ในขณะนี้ถือว่าโอกาสในการลงทุนมีน้อย แม้ว่าหลายประเทศจะมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงก็ตาม แต่อัตราดอกเบี้ยที่สูงยังไม่สามารถรับรองผลตอบแทนที่ดีได้ ต้องดูไปที่นโยบายการบริหารในประเทศเหล่านั้นด้วยว่ามีนโบายด้านเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง และรวมไปถึงเรื่องของผลตอบแทนที่จะได้รับจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
นายกำพล ยังกล่าวถึงการลงทุนในหุ้นกู้ของภาคเอกชนด้วยว่า การลงทุนในหุ้นกู้นั้น ควรดูไปที่อันดับความน่าเชื่อถือ (CREDIT RETING) ของบริษัทเหล่านั้นด้วยว่าอยู่ในระดับใด ซึ่งรวมไปถึงคุณภาพของบริษัทด้วยว่า มีความสามารถในการชำระหนี้ได้มากเพียงใด มีจำนวนหนี้สินในระดับใด
ด้านนายวนา พูนผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวว่า การลดอัตราดอกเบี้ยลงนั้นจะยังคงมีอยู่อีกในหลายประเทศ แต่อาจจะมีการใช้มาตรการในด้านอื่นเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการใช้มาตรการทางการคลัง หรือการที่รัฐบาลจะออกหุ้นกู้ในระยะยาว เช่น ออกตราสารของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนของตราสารดังกล่าวมีอัตราในระดับที่สูง ขณะที่ในส่วนของประเทศไทย
ขณะนี้ภาคเอกชนได้ออกหุ้นกู้กันเป็นจำนวน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจของตนเองเนื่องจากบรรดาธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อยากขึ้น จนทำให้บริษัทมีปัญหาด้านเงินทุนหมุนเวียน
"บริษัทที่น่าลงทุนในหุ้นกู้จะต้องเป็นบริษัทที่สามารถรักษายอดขายไว้ได้ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย ขณะเดียวกันต้องเป็นสินค้าที่จำเป็น ส่วนธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบคือธุรกิจประเภทที่พึ่งพาภาวะเศรษฐกิจของประเทศ" นายวนา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมพบว่า การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ ณ ปัจจุบันนี้ นับเป็นเครื่องมือทางการเงินอีกชนิดหนึ่งที่มีความเสี่ยงในการลงทุนที่ต่ำมากหากเทียบกับการลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทอื่นๆ แม้จะไม่เท่ากับการฝากเงินไว้ในบัญชีธนาคาร ซึ่งเชื่อว่าในระยะต่อไปการลงทุนในตราสารหนี้จะได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ภาคเอกชน
ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้น เป็นที่คาดหมายว่าจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงน่าจะส่งผลด้านจิตวิทยาการลงทุนต่อนักลงทุน จนอาจเกิดการเทขายหน่วยลงทุนออกมา เนื่องจากไม่ไว้วางใจในผลตอบแทนและมูลค่าหน่วยลงทุนที่เป็นอยู่ โดยอาจโยกเงินลงทุนในส่วนนี้มาใส่ไว้ที่กองทุนตราสารหนี้แทน และบางส่วนอาจเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนจนนำไปสู่การฝากเงิน เพื่อรอจังหวะหรือภาวะการลงทุนที่ดีกว่าในปัจจุบันนี้ ยกเว้นการลงทุนในกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ที่ยังมีโอกาสทำกำไร เพราะเป็นการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยอีกทั้งยังต้องใช้เวลาลงทุนอีกนาน หากผู้ถือหน่วยลงทุนต้องการได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า รวมถึงต้องการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
ก่อนหน้านี้ นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่จะมีในวันที่ 25 ก.พ. นี้ คาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25 -0.50% จากระดับปัจจุบันที่ 2.00% ส่วนแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้นในประเทศอายุไม่เกิน 1 ปี ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 1.44 - 1.53%ต่อปี แม้ว่าตั๋วเงินคลังยังคงมีการเปิดประมูลใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่ความต้องการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นยังมีอยู่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะกองทุนตลาดเงินและกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้พันธบัตรภาครัฐที่เน้นความมั่นคงสูง
ส่วนตราสารหนี้ภาคเอกชนยังคงให้ผลตอบแทนสูง โดยเกิดจากความกังวลต่อความเสี่ยงด้านเครดิตในภาวะที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว พบว่ายังมีตราสารหนี้ของบริษัทหรือสถาบันการเงินที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและสภาพคล่องที่ดี
