ASTVผู้จัดการายวัน-บลจ.ยูโอบี มองภาพรวมเศรษฐกิจมังกร เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นหลังรัฐบาลลงทุนในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน เเนะทยอยซื้อ "ยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ ไชน่า" ช่วยลดความเสี่ยงพร้อมกับรับผลตอบเเทนที่ดีในอนาคต ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มองจีนเป็นชาติเเรกที่เศรษฐกิจฟื้น
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวถึงกองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ ไชน่าว่า พอร์ตการลงทุนของกองทุนในช่วงนี้ จะเน้นลงทุนในธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐบาลเเละกลุ่มอุปโภคบริโภค ซึ่งในไตมาสที่ 2-3 นี้เชื่อว่าเศรษฐกิจของจีนน่าจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น
"นักลงทุนยังคงค่อนข้างระมัดระวังการลงทุนในประเทศจีนอยู่มาก เเต่หากมองในระยะยาวเชื่อว่า เศรษฐกิจของจีนจะใหญ่ที่สุดเเละน่าลงทุนที่สุด โดยการลงทุนเเบบถัวเฉลี่ยหรือ Dollar Cost Averaging จะช่วยลดความผันผวนที่เกิดขึ้นได้" นายวนา กล่าว
สำหรับกองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ ไชน่าจะ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน United Greater China ซึ่งเป็นกองทุนรวม เพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (retail fund) ซึ่งจัดตั้งและบริหาร จัดการโดย UOB Asset Management ประเทศ สิงค์โปร์โดยกองทุน United Greater China มีนโยบาย การลงทุนในหลักทรัพย์ ตราสารทุน ของบริษัทที่ ดำเนินธุรกิจในเขตปก ครองพิเศษ ฮ่องกง จีน และใต้หวัน โดยตลาดหลักทรัพย์ที่เข้าไปลงทุน ส่วนใหญ่ได้แก่ตลาดฮ่องกง ตลาดเซี่ยงไฮ้ และตลาด ใต้หวัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประเทศจีนใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยจำนวนเงิน 4 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 585,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น ทางรัฐบาลจีนประกาศว่ามาตรการดังกล่าวกำลังทำงานอย่างได้ผล โดยเศรษฐกิจส่งสัญญาณการฟื้นตัวทุกภาคส่วน ซึ่งโครงการก่อสร้างของภาครัฐ อาทิ โครงการสร้างทางรถไฟสายใหม่ 3 สายในมณฑลชานตง ,โครงการก่อสร้างบ้านมูลค่า 35,000 ล้านหยวนในมณฑลส่านซี ส่งผลให้ราคาเหล็กปรับขึ้น
ขณะเดียวกันรัฐบาลยังให้คำมั่นในเรื่องการจัดสรรเงินกองทุนของรัฐบาลกลางจำนวน 1.2 ล้านล้านหยวนสำหรับโครงการก่อสร้างภาครัฐเหล่านี้ ส่งผลผลักดันให้ภาคธนาคารเต็มใจปล่อยกู้ให้แก่โครงการ ทำให้การปล่อยกู้ก้อนใหม่ในเดือนมกราคมสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 237,000 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ของเมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค.ในฮ่องกง ระบุว่า ดูเหมือนจีนกำลังจะเป็นชาติเศรษฐกิจรายใหญ่รายแรก ที่ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซาในขณะนี้ ซึ่งจีนเป็นชาติเดียวในโลก ที่มองเห็นการโตขึ้นอย่างชัดเจนของสินเชื่อสำหรับภาคผู้ประกอบการและภาคครัวเรือน หลังจากเดือนกันยายน 2551 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤตการเงินกำลังทรุดตัวลง
ทั้งนี้ การปล่อยเงินกู้ก้อนใหม่ประจำเดือนมกราคมดังกล่าวมีจำนวนมากกว่า 2 เท่าของการปล่อยเงินกู้ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากตัวเลขของธนาคารประชาชนจีนเมื่อวันพฤหัสฯ (12 ก.พ.)โดยนักกลยุทธ์ของสเตต สตรีต โกลบอล มาร์เก็ตส์ ในฮ่องกงชี้ว่า การปล่อยกู้ดังกล่าวทำให้แผนกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมากมาย ซึ่งถ้าเป็นในสหรัฐฯ และยุโรป แล้วจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากธนาคารต่างกำลังแบกรับภาระหนี้เสียจนหนักอึ้ง นอกจากนั้น จีนเป็นเพียงชาติเดียวในบรรดาชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก 3 ชาติ ที่เศรษฐกิจยังคงเติบโต โดยนักเศรษฐศาสตร์ของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค.ในฮ่องกงคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะโตถึงร้อยละ 7.2 ในปีนี้
ขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอยแต่จีนมีแรงขับเคลื่อน ซึ่งช่วยพยุงให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้ โดยจีนมีหนี้สาธารณะเพียงร้อยละ 18.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี เปรียบเทียบกับอินเดีย ซึ่งมีหนี้สาธารณะถึงร้อยละ 75 ขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ 1.95 ล้านล้านดอลลาร์ และมีงบประมาณสมดุล ด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงทำให้จีนมีแรงอึดในการใช้จ่าย เพื่อการสร้างงาน และบรรลุการเติบโตทางเศรษฐกิจตามเป้าหมายที่วางไว้ขณะเดียวกัน การนำเข้าแร่เหล็กของจีนยังขยับขึ้นร้อยละ 28 เป็น 690 หยวนต่อเมตริกตัน นับตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มองว่า หากเศรษฐกิจจีนมีการฟื้นตัว ก็จะเป็นการฟื้นตัวอย่างพอประมาณ เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ และการค้ายังอ่อนแอ และเมื่อมีการปล่อยกู้มากขึ้น ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเรื่องหนี้เสียให้กับธนาคาร ซึ่งหากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถทำให้จีดีพีโตถึงร้อยละ 8 ได้ตามเป้าของรัฐบาล แต่คาดว่าไม่น่าจะเป็นการเติบโตที่สามารถสร้างงานได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจาก แผนกระตุ้นเศรษฐกิจมุ่งส่งเสริมการใช้เหล็กกล้าและปูนซีเมนต์เป็นส่วนใหญ่ และส่งเสริมการบริโภคของประชาชนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของธนาคารโลก ที่ว่า จีนมีความคืบหน้าเล็กน้อยในการสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ ที่เอนเอียงไปทางการลงทุนและอุตสาหกรรม มากกว่าการบริโภคและการบริการ