บลูมเบิร์ก - จีนยิ้มออกแล้ว หลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 ล้านล้านหยวน (585,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ) กำลังทำงานได้ผล โดยเศรษฐกิจส่งสัญญาณการฟื้นตัวทุกภาคส่วน พร้อมสลัดหนีออกจากบ่วงภาวะซบเซา
เศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก อาจโตร้อยละ 6.6 ในช่วงไตรมาส 2 หลังจากชะลอลงมาอยู่ร้อยละ 6.3 ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งนับเป็นการชะลอการเติบโตมากที่สุด นับตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา จากการสำรวจประมาณการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ 14 คนโดย บลูมเบิร์ก นิวส์
จีนกำลังพยายามกอบกู้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งส่งผลให้งาน 20 ล้านตำแหน่งต้องถูกเซ่นสังเวยไปแล้ว และอาจนำไปสู่การเกิดความวุ่นวายในสังคม ขณะที่ภาคการส่งออกทรุดหนัก ส่วนภาคตลาดอสังหาริมทรัพย์ย่ำแย่
อย่างไรก็ตาม แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายน กำลังเริ่มขับเคลื่อนทุกภาคเศรษฐกิจ ให้ตื้นขึ้นอีกครั้ง โดยโครงการก่อสร้างภาครัฐ อาทิ โครงการสร้างทางรถไฟสายใหม่ 3 สายในมณฑลชานตง ,โครงการก่อสร้างบ้านมูลค่า 35,000 ล้านหยวนในมณฑลส่านซี ส่งผลให้ราคาเหล็กปรับขึ้น
นอกจากนั้น รัฐบาลยังให้คำมั่นจัดสรรเงินกองทุนของรัฐบาลกลางจำนวน 1.2 ล้านล้านหยวนสำหรับโครงการก่อสร้างภาครัฐเหล่านี้ ซึ่งผลักดันให้ภาคธนาคารเต็มใจปล่อยกู้ให้แก่โครงการ ทำให้การปล่อยกู้ก้อนใหม่ในเดือนมกราคมสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 237,000 ล้านดอลลาร์
นักเศรษฐศาสตร์ของเมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค.ในฮ่องกง ระบุว่า ดูเหมือนจีนกำลังจะเป็นชาติเศรษฐกิจรายใหญ่รายแรก ที่ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซาในขณะนี้
“จีนเป็นชาติเดียวในโลก ที่มองเห็นการโตขึ้นอย่างชัดเจนของสินเชื่อสำหรับภาคผู้ประกอบการและภาคครัวเรือน หลังจากเดือนกันยายน 2551 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤตการเงินกำลังทรุดหนักจวนเจียนล่มสลาย” เขาระบุ
หนี้เสีย
การปล่อยเงินกู้ก้อนใหม่ประจำเดือนมกราคมดังกล่าวมีจำนวนมากกว่า 2 เท่าของการปล่อยเงินกู้ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากตัวเลขของธนาคารประชาชนจีนเมื่อวันพฤหัสฯ (12 ก.พ.)
นักกลยุทธ์ของสเตต สตรีต โกลบอล มาร์เก็ตส์ ในฮ่องกงชี้ว่า การปล่อยกู้ดังกล่าวทำให้แผนกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมากมาย ซึ่งถ้าเป็นในสหรัฐฯ และยุโรป แล้วจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากธนาคารต่างกำลังแบกรับภาระหนี้เสียจนหนักอึ้ง
นอกจากนั้น จีนเป็นเพียงชาติเดียวในบรรดาชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก 3 ชาติ ที่เศรษฐกิจยังคงเติบโต โดยนักเศรษฐศาสตร์ของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค.ในฮ่องกงคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะโตถึงร้อยละ 7.2 ในปีนี้
ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอยลึก แต่จีนมีแรงขับเคลื่อน ซึ่งช่วยพยุงให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้ โดยจีนมีหนี้สาธารณะเพียงร้อยละ 18.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี เปรียบเทียบกับอินเดีย ซึ่งมีหนี้สาธารณะถึงร้อยละ 75 ขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ 1.95 ล้านล้านดอลลาร์ และมีงบประมาณสมดุล
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงทำให้จีนมีแรงอึดในการใช้จ่าย เพื่อการสร้างงาน และบรรลุการเติบโตทางเศรษฐกิจตามเป้าหมายที่วางไว้
ขณะเดียวกัน การนำเข้าแร่เหล็กของจีนยังขยับขึ้นร้อยละ 28 เป็น 690 หยวนต่อเมตริกตัน นับตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
“คุณกำลังเริ่มมองเห็นความต้องการ ที่แอบแฝงอยู่ในเศรษฐกิจจีน” นายมาเรียส คล็อปเปอร์ส ซีอีโอของบริษัท บีเอ็ชพี บิลลิตัน ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกกล่าว
ด้านโคคา-โคล่า บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดในโลกระบุว่า ยอดขายในจีนเพิ่มร้อยละ 29 ในช่วงไตรมาส 4 หลังจากบริษัทเป็นสปอนเซ่อร์จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นของจีนกำลังปรับตัวดีขึ้น และนักลงทุนแสดงความสนใจกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง การซื้อขายในตลาดหุ้นเมื่อวันพุธ (11 ก.พ.) พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบอย่างน้อย 3 ปี โดยดัชนีคอมโพซิตของตลาดเซี่ยงไฮ้ ปรับขึ้นร้อยละ 32 จากการแตะระดับต่ำสุดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มองว่า หากเศรษฐกิจจีนมีการฟื้นตัว ก็จะเป็นการฟื้นตัวอย่างพอประมาณ เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ และการค้ายังอ่อนแอ และเมื่อมีการปล่อยกู้มากขึ้น ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเรื่องหนี้เสียให้กับธนาคาร
นอกจากนั้น หากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถทำให้จีดีพีโตถึงร้อยละ 8 ได้ตามเป้าของรัฐบาล แต่ไม่น่าจะเป็นการเติบโตที่สามารถสร้างงานได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจาก แผนกระตุ้นเศรษฐกิจมุ่งส่งเสริมการใช้เหล็กกล้าและปูนซีเมนต์เป็นส่วนใหญ่ และส่งเสริมการบริโภคของประชาชนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของธนาคารโลก ที่ระบุเมื่อวันพฤหัสฯ (12 ก.พ.) ว่า จีนมีความคืบหน้าเล็กน้อยในการสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ ที่เอนเอียงไปทางการลงทุนและอุตสาหกรรม มากกว่าการบริโภคและการบริการ