xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดหุ้นเอเชียยังต้อง “เจ็บ” ต่อไป ก่อนเริ่มกระเตื้องในครึ่งหลังปี 09

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอเอฟพี - ตลาดหุ้นเอเชีย มีหวังต้องเผชิญหน้ากับความผันผวนรุนแรงในต้นปี 2009 ก่อนที่จะเริ่มดีดตัวกลับขึ้นมาทีละขั้น จากมาตรการต่างๆ ในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน และในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เริ่มบังเกิดสัมฤทธิ์ผล

ตลาดหุ้นเอเชียในปีนี้โดยองค์รวม มีมูลค่าตลาดลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง สืบเนื่องจากวิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงของโลก นับแต่หลังยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา และผู้ซื้อก็ยังไม่กลับคืนสู่ตลาดจนกว่าจะเห็นว่าภาวะดิ่งลงต่อเนื่องจะสิ้นสุดลงแล้ว

“ตลาดเอเชียจะยังคงตกเป็นเชลยของภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและวิกฤตการเงินในสหรัฐฯต่อไป เราควรต้องเตรียมรับมือกับสภาพที่ย่ำแย่ถึงที่สุด” ทิม คอนดอน หัวหน้านักวิจัยแห่งไอเอ็นจี ไฟแนนเชียล มาร์เกตส์ กล่าว

ตอนนี้ บรรดานักวิเคราะห์ยังไม่มีเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ ว่า เมื่อใดเศรษฐกิจโลกจึงจะเริ่มฟื้นตัว

พวกที่มองโลกในแง่ดีหน่อย ก็บอกว่า โอกาสแห่งการฟื้นตัวนั้นจะอยู่ในไตรมาสสองของปีหน้า แต่บางคนก็บอกว่าภาวะชะลอตัวจะยาวนาน บางทีอาจจะถึงปี 2011 เสียด้วยซ้ำ

“ตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย น่าจะยังต้องร่วงลงมากกว่านี้อีก ก่อนที่การฟื้นตัวกันเป็นระยะยาวจะเข้ามาแทนที่” ดาริอุส โควาลซิก หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนที่ ซีเอฟซี ซีมอร์ ในฮ่องกง กล่าว

“เราไม่คาดว่า การฟื้นตัวจะกลับมาเร็วนัก สิ่งที่ตลาดยังคงวิตกกันอยู่ในตอนนี้ก็คือว่าเมื่อใดเศรษฐกิจภาคแท้จริงจะตกลงจนถึงระดับต่ำสุดเสียที” เขากล่าวเสริม

แต่นักวิเคราะห์อีกกลุ่มหนึ่ง เห็นว่า มีโอกาสที่ตลาดจะดีดกลับขึ้นมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีหน้า ภายหลังจากดิ่งลงไปรุนแรงในระยะไม่นานมานี้

กระทั่งตัว โควาลซิก เองที่เหมือนกับมองโลกในแง่ร้าย ก็กลับยังคงคาดว่าดัชนีนิกเคอิของตลาดหุ้นโตเกียวจะพุ่งขึ้นราว 27% ในตลอดปี 2009 ส่วนดัชนีฮั่งเส็งของตลาดฮ่องกงจะดีดกลับมา 29% และดัชนีคอมโพสิต ของตลาดเซี่ยงไฮ้ จะฟื้นตัวราว 40% ในช่วงเดียวกัน ทว่าการฟื้นตัวเช่นนี้จะยังไม่ทำให้ดัชนีกลับมาอยู่ในระดับเดิมของต้นปี 2008

ความเชื่อที่มีการนำเสนอกันเป็นทฤษฎี “decoupling” ที่ว่าตลาดเฟื่องฟูใหม่โดยเฉพาะแถบเอเชีย มีปัจจัยพื้นฐานอันแข็งแกร่งจนสามารถเติบโตได้ด้วยตนเอง และดังนั้น จึงน่าจะสามารถต้านทานปัญหาขาดแคลนสินเชื่ออย่างรุนแรงที่ลุกลามมาจากสหรัฐฯได้นั้น บัดนี้ได้กลายเป็นทฤษฎีเชยๆ ซึ่งผู้เสนอทั้งหลายก็หน้าม้านแทบไม่อยากพูดถึง ตั้งแต่ที่ได้เห็นว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะถดถอย รวมทั้งเศรษฐกิจของจีนก็เติบโตช้าลงอย่างมาก อันเนื่องมาจากความต้องการสินค้าส่งออกของทั้งสองประเทศที่เหือดหายไปอย่างรวดเร็ว

“มันเป็นปีแห่งฝันร้ายสำหรับทุกคนที่ไม่ได้ถือพันธบัตรรัฐบาลเอาไว้ และผมก็หวังว่า จะไม่ต้องเห็นสภาพเช่นนี้อีก” โควาลซิก กล่าว

ดัชนีหุ้นเอ็มเอสซีไอของทั่วเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น ซึ่งวัดผลประกอบของตลาดหุ้นเอเชีย 11 ประเทศ จาก ปากีสถาน ไปถึง จีน ในปีนี้ทรุดฮวบลง 53% ขณะที่ดัชนีนิกเคอิของญี่ปุ่นก็ร่วงไป 46% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 26 ปีเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ด้านดัชนีฮ่องกงร่วงลงไป 48% ส่วนเซี่ยงไฮ้นั้น อาการหนักกว่าเพื่อน เพราะมูลค่าหดหายไปถึง 62% ขณะที่ มุมไบ ไล่ตามมาที่ติดลบ 54% หลังจากเหตุการณ์โจมตีเมืองมุมไบของกลุ่มก่อการร้ายเมื่อเดือนที่แล้ว

ส่วนตลาดอื่นๆ อย่างเช่น ซิดนีย์ จาการ์ตา และกรุงเทพฯ ก็มีมูลค่าหุ้นลดลงครึ่งหนึ่ง ส่วนตลาดโซลนั้น ดัชนีคอสปี ร่วงไป 42%

ทางด้านบรรดาธนาคารพาณิชย์ พากันลังเลที่จะให้กู้ยืม ส่วนบริษัทต่างๆ ก็ตัดลดการลงทุน ปัจจัยทั้งสองนี้ไปฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง แม้ว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะพยายามอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่ตลาดก็ตาม

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกมาเตือนว่า หากภาวะตกต่ำยังคงดำเนินต่อไป ตลาดเอเชียอาจจะต้องเผชิญหน้ากับกระแสของการงดจ่ายหนี้ของบรรดาบริษัทต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะล้มละลายของธนาคารในภูมิภาคหลายราย เพราะไม่สามารถจะหาเม็ดเงินเข้ามาดำเนินธุรกิจได้

อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์ต่างคิดว่าเอเชียยังคงมีสภาพการณ์ดีกว่าในสหรัฐฯและยุโรป อันเนื่องมาจากระบบการเงินยังคงมีสภาพคล่องมากกว่า และรัฐบาลมีทางเลือกมากกว่าทั้งด้านนโยบายการเงินและการคลังเพื่อทำให้เศรษฐกิจเกิดการถดถอยน้อยที่สุด

ระยะไม่นานมานี้ บรรดาประเทศเอเชียต่างทยอยประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ให้ทดแทนการส่งออกที่อ่อนตัวลงอย่างมาก

เมื่อเดือนที่แล้วจีนประกาศมาตรการมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน มุ่งไปที่การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รวมทั้งเพิ่มสวัสดิการสังคมต่างๆ

ส่วนญี่ปุ่นก็ประกาศในต้นเดือนนี้ถึงมาตรการอัดฉีดเม็ดเงิน 23 ล้านล้านเยน (255,000 ล้านดอลลาร์) เพื่อช่วยแรงงาน เจ้าของบ้านและธนาคาร เพิ่มเติมจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 26.9 ล้านล้านเยนที่ประกาศออกมาเมื่อเดือนตุลาคม นอกจากนั้น เมื่อวันพุธ (24) ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นยังได้เสนอร่างงบประมาณประจำปีใหม่ (เม.ย.09-มี.ค.10) ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นั่นคือ 88.5 ล้านล้านเยน โดยที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่เป็นจำนวนมาก

สำหรับทางการอินเดียก็เผยแผนมูลค่า 4,100 ล้านดอลลาร์ ที่มุ่งหมายจะฉุดให้เศรษฐกิจขยายตัวขึ้นเช่นเดียวกัน

นักวิเคราะห์เห็นว่า ความพยายามของรัฐบาลเหล่านี้ จะส่งผลทางบวกต่อตลาดหลักทรัพย์ของภูมิภาคเอเชียในเวลาไม่นานต่อจากนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น