xs
xsm
sm
md
lg

พญามังกรปรับลดดอกเบี้ยรอบที่ 5 ระดมทุนอัดฉีดแพคเกจกระตุ้นศก.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเอฟพี/เอเชียนวอลสตรีท – ธนาคารกลางประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้เป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอังคาร (23) เป็นต้นไป พร้อมทั้งปรับลดเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ลงเหลือ 15.5% เพื่อหวังกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ด้านนักวิเคราะห์เชื่อรัฐบาลจะปรับลดดอกเบี้ยอีกภายในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า

หลังจากปักกิ่งให้คำมั่นจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อรับประกันระบบการเงินของจีนมีเงินทุนสำหรับธุรกิจ บุคคล และโครงการที่รัฐสนับสนุน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในช่วงที่เกิดวิกฤตรุนแรงแห่งทศวรรษ

ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ (22 ธ.ค.) ธนาคารกลางแห่งประเทศจีนได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้เป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่กลางเดือนกันยายนเป็นต้นมา โดยจะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะเวลา 1 ปีลงร้อยละ 0.27 มาเป็น 5.31% จากเมื่อกลางเดือนกันยายนซึ่งเดิมอยู่ที่ 7.47% และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงในอัตราเท่ากันมาอยู่ที่ 2.25% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคมเป็นต้นไป

อีกทั้งเพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธนาคารในการปล่อยกู้ ดังนั้นธนาคารกลางจึงได้ตัดสินใจปรับลดสัดส่วนเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ลง 0.5% มาอยู่ที่ 15.5% จากจำนวนเงินฝากทั้งหมดของธนาคาร

ภายหลังจากการประกาศลดดอกเบี้ยของจีน ค่าเงินหยวนมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยซื้อขายเมื่อวานนี้ (22 ธ.ค.) ในตลาดเซี่ยงไฮ้ปรับตัวอยู่ที่ 6.8505 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันจันทร์แม้ว่าอยู่ในความคาดหมายของนักวิเคราะห์ แต่ก็เป็นการปรับลดในปริมาณน้อยกว่าที่คิด อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์เชื่อมั่นว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต

ดังเช่นสตีเฟน กรีน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดแสดงทัศนะว่า “ตลาดรู้สึกผิดหวังกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจำนวนน้อยนิดของจีน แต่ก็เชื่อว่าทางการจีนต้องการเก็บมาตรการโต้ตอบดังกล่าวไว้ใช้ต่อในปีหน้าอีก”

กง ฟางสงนักเศรษฐศาสตร์จากมอร์แกน สแตนเลย์กล่าวว่า ขณะนี้ช่องว่างการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางแห่งประเทศจีนได้ขยายเพิ่มขึ้น คาดการณ์ว่าภายในครึ่งปีหน้าจีนอาจจะปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากลงอีกถึงร้อยละ 9 เพื่อรักษาสภาพคล่องของสถาบันการเงินต่างๆ และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ได้แสดงความคาดหวังว่ารัฐบาลจีนจะผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

ขณะที่หนังสือพิมพ์ต้ากงเป้าของฮ่องกง ก็ระบุว่า ขณะนี้กลุ่มนักวิเคราะห์หลายฝ่ายต่างแนะนำให้ทางการจีนผลักดันโครงการแจกคูปองซื้อสินค้าให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ถ้าหากจีนต้องการกระตุ้นการบริโภคภายในอย่างแท้จริง ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวเป็นแผนการที่เห็นผลได้ในระยะสั้น ดังเช่นในประเทศญี่ปุ่นที่เคยเลือกใช้และประสบความสำเร็จมาแล้วในช่วงปี 1999

ด้านสถาบันการลงทุนเช่น เมอร์ริล ลินซ์ ,ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล และ บาร์เคลย์ส แคปิตัล กล่าวว่า เห็นด้วยกับมาตรการที่จีนต้องขยายขอบเขตการแจกคูปองซื้อสินค้า พร้อมกันนี้ก็มองว่า มาตรการต่อเนื่องจากโครงการดังกล่าว จีนควรปรับลดอัตราภาษีทุกชนิด รวมถึงการช่วยเหลือเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยในจีนนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจอย่างเช่นในประเทศพัฒนาแล้ว เนื่องจากการตัดสินใจกู้ยืมบางครั้งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองและปัจจัยอื่นๆ มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยกระทรวงการคลังและหน่วยงานรัฐบาลดูดเงินออกจากเงินฝากธนาคารมูลค่า 6.85 ล้านล้านเหรียญสหรัฐของจีน ทำให้ประชาชนหันมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น โดยขณะนี้รัฐบาลกลางจำเป็นต้องระดมทุนจำนวนมากเพื่อนำไปอัดฉีดแพคเกจกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 586,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ตามที่หนังสือพิมพ์เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงาน จีนวางแผนจำหน่ายพันธบัตรมูลค่า 1.6 ล้านล้านหยวน (234,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในปีหน้า มากกว่าปีนี้ที่มีการจำหน่ายพันธบัตรรัฐประมาณ855,800 ล้านหยวน

ในวันเดียวกัน สื่อท้องถิ่นอ้างคำกล่าวของ ไฉ่ ชิวเซิง เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสจากฝ่ายจัดการบัญชี สำนักงานปริวรรตเงินตราแห่งประชาติจีน หรือ SAFE ระบุว่า ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของจีนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2003 เป็นต้นมา โดยปัจจุบันทุนสำรองฯ อยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดที่ 1.91 ล้านล้านเหรียญสหรัฐของช่วงปลายเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งไฉ่กล่าวว่ามีสาเหตุมาจากวิกฤตการเงินโลกที่จีนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทว่าทางการจีนไม่ได้ระบุตัวเลขที่แน่นอนของทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศที่ลดลง

ทั้งนี้ จีนทำลายสถิติทุนสำรองมากสุดในโลกเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาไปอยู่ที่ 1.91 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และเคยถูกคาดการณ์ว่าจะทะยานสู่ 2 ล้านล้านเหรียญในเร็วๆ นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น