บลจ. ยูโอบี ชี้เศรษฐกิจจีนยังแข็งแกร่ง แม้ตัวเลขจีดีพีจะปรับตัวลดลง ยืนยันวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯไม่สร้างผลกระทบมาก ล่าสุดเงินทุนสำรองในประเทศยังอยู่ในระดับสูง หนุนการลงทุนภาครัฐ อีกทั้งหลังจบกีฬาโอลิมปิกตัวเลขเศรษฐกิจไม่แย่ลงตามหลายฝ่ายกังวล พร้อมเชื่อในระยะยาวจีนจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกแทนสหรัฐ
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศจีนในขณะนี้ว่า จากวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศจีนอย่างรุนแรงมากนัก แม้ว่าล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน ออกมาเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ของจีนชะลอตัวลงมาโดยอยู่ที่ 9.9 % ในไตรมาส 3 จากหรือในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลจีนพยายามออกนโยบายเพื่อควบคุมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้ร้อนแรงเกินไป
ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญยังอยู่ในระดับที่ดี เช่น ในเรื่องการบริโภคของประชาชนนั้น ขณะนี้ประชาชนในประเทศมีอำนาจซื้อและลงทุนในระดับที่สูง รวมถึงรัฐบาลจีนเอง มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า นํ้าประปา ถนน เป็นจำนวนมาก ซึ่งแม้หลายฝ่ายประเมินว่าการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐจะลดลงไปบ้าง แต่ยังเป็นส่วนน้อย เนื่องจากปัจจัยในด้านอื่นที่ยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปได้ดีอยู่
"แม้ว่าจีดีพีของประเทศจีนจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9.9% รวมทั้งในส่วนของตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติเทขายทำกำไรกันออกไปมาก ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมา แต่ต้องถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดีและยังน่าลงทุนอยู่" นายวนา กล่าว
ทั้งนี้ จากที่มีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจของประเทศจีนหลังจากจบการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจะปรับตัวลดลงนั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี กล่าวยืนยันว่า หลังจากที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจบลง เศรษฐกิจของจีนไม่ได้รับกระทบอะไรมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะนโยบายของภาครัฐที่ไม่ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วเกินไป รวมทั้งประเทศจีนเองมีเงินทุนสำรองของประเทศในจำนวนที่สูงมาก และเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้พึ่งพาต่างประเทศมากเกินไป จึงทำให้จีนไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้แต่อย่างใด
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ น่าจะกลับมาฟื้นตัวในช่วงประมาณ 2 ปีครึ่งถึง 3 ปี ต่อจากนี้ ซึ่งหากเศรษฐกิจของสหรัฐฯฟื้นตัว จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศจีน โดยจีนอาจจะต้องดูในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินหยวนกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ให้เหมาะสม
"เชื่อว่าในระยะต่อไปนี้เศรษฐกิจของประเทศจีนจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกและเอเชียแทนประเทศสหรัฐอเมริกา" นายวนา กล่าว
สำหรับ บลจ. ยูโอบี มีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นจีนด้วยเช่นกัน นั่นคือ กองทุนเปิด ยูโอบีสมาร์ท เกรธเธอร์ไชน่า (UOB SMART Greater China Fund ) ซึ่งเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน United Greater China ซึ่งเป็นกองทุนรวม เพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (retail fund) ซึ่งจัดตั้งและบริหาร จัดการโดย UOB Asset Management ประเทศ สิงค์โปร์ โดยกองทุน United Greater China
โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบาย การลงทุนในหลักทรัพย์ ตราสารทุน ของบริษัทที่ ดำเนินธุรกิจในเขตปก ครองพิเศษ ฮ่องกง จีน และใต้หวัน โดยตลาดหลักทรัพย์ที่เข้าไปลงทุน ส่วนใหญ่ได้แก่ตลาดฮ่องกง ตลาดเซี่ยงไฮ้ และตลาด ใต้หวัน ซึ่งปัจจุบัน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 364.84 ล้านบาท
ปัจจุบันข้อมูลจากเว็บไซต์บลจ.ยูโอบี พบว่า กองทุนดังกล่าวมีผลดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งอยู่ที่ จากเกณฑ์มาตรฐานBenchmark MSCI AC World Index ที่อยู่ในระดับ -49.72% ขณะที่ผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่-36.92% จากเกณฑ์มาตรฐาน -30.00% ส่วนผลดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -41.72% จากมาตราฐาน -33.22% และผลดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -56.41% จากเกณฑ์มาตราฐานอยู่ที่ -41.19%
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศจีนในขณะนี้ว่า จากวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศจีนอย่างรุนแรงมากนัก แม้ว่าล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน ออกมาเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ของจีนชะลอตัวลงมาโดยอยู่ที่ 9.9 % ในไตรมาส 3 จากหรือในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลจีนพยายามออกนโยบายเพื่อควบคุมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้ร้อนแรงเกินไป
ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญยังอยู่ในระดับที่ดี เช่น ในเรื่องการบริโภคของประชาชนนั้น ขณะนี้ประชาชนในประเทศมีอำนาจซื้อและลงทุนในระดับที่สูง รวมถึงรัฐบาลจีนเอง มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า นํ้าประปา ถนน เป็นจำนวนมาก ซึ่งแม้หลายฝ่ายประเมินว่าการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐจะลดลงไปบ้าง แต่ยังเป็นส่วนน้อย เนื่องจากปัจจัยในด้านอื่นที่ยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปได้ดีอยู่
"แม้ว่าจีดีพีของประเทศจีนจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9.9% รวมทั้งในส่วนของตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติเทขายทำกำไรกันออกไปมาก ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมา แต่ต้องถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดีและยังน่าลงทุนอยู่" นายวนา กล่าว
ทั้งนี้ จากที่มีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจของประเทศจีนหลังจากจบการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจะปรับตัวลดลงนั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี กล่าวยืนยันว่า หลังจากที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจบลง เศรษฐกิจของจีนไม่ได้รับกระทบอะไรมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะนโยบายของภาครัฐที่ไม่ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วเกินไป รวมทั้งประเทศจีนเองมีเงินทุนสำรองของประเทศในจำนวนที่สูงมาก และเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้พึ่งพาต่างประเทศมากเกินไป จึงทำให้จีนไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้แต่อย่างใด
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ น่าจะกลับมาฟื้นตัวในช่วงประมาณ 2 ปีครึ่งถึง 3 ปี ต่อจากนี้ ซึ่งหากเศรษฐกิจของสหรัฐฯฟื้นตัว จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศจีน โดยจีนอาจจะต้องดูในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินหยวนกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ให้เหมาะสม
"เชื่อว่าในระยะต่อไปนี้เศรษฐกิจของประเทศจีนจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกและเอเชียแทนประเทศสหรัฐอเมริกา" นายวนา กล่าว
สำหรับ บลจ. ยูโอบี มีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นจีนด้วยเช่นกัน นั่นคือ กองทุนเปิด ยูโอบีสมาร์ท เกรธเธอร์ไชน่า (UOB SMART Greater China Fund ) ซึ่งเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน United Greater China ซึ่งเป็นกองทุนรวม เพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (retail fund) ซึ่งจัดตั้งและบริหาร จัดการโดย UOB Asset Management ประเทศ สิงค์โปร์ โดยกองทุน United Greater China
โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบาย การลงทุนในหลักทรัพย์ ตราสารทุน ของบริษัทที่ ดำเนินธุรกิจในเขตปก ครองพิเศษ ฮ่องกง จีน และใต้หวัน โดยตลาดหลักทรัพย์ที่เข้าไปลงทุน ส่วนใหญ่ได้แก่ตลาดฮ่องกง ตลาดเซี่ยงไฮ้ และตลาด ใต้หวัน ซึ่งปัจจุบัน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 364.84 ล้านบาท
ปัจจุบันข้อมูลจากเว็บไซต์บลจ.ยูโอบี พบว่า กองทุนดังกล่าวมีผลดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งอยู่ที่ จากเกณฑ์มาตรฐานBenchmark MSCI AC World Index ที่อยู่ในระดับ -49.72% ขณะที่ผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่-36.92% จากเกณฑ์มาตรฐาน -30.00% ส่วนผลดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -41.72% จากมาตราฐาน -33.22% และผลดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -56.41% จากเกณฑ์มาตราฐานอยู่ที่ -41.19%
