ASTVผู้จัดการรายวัน- รองเลขาธิการสมาคมผู้ค้าทองคำ ชี้ราคาทองคำปีนี้วิ่งสวนทางเศรษฐกิจโลก โดยยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก คาดโอกาสที่จะเห็นราคาทองคำโลกอยู่ที่ 1,033 เหรียญดอลลาร์มีความเป็นไปได้สูง แนะนำนักลงทุนระมัดระวังความผันผวนที่มีอยู่ ขณะเดียวกัน การเทรดในโกล์ด ฟิวเจอร์ส ถือว่าเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้100% แต่ความเสี่ยงของการลงทุนยังสูง
นายกฤชรัตน์ หิรัชศิริ รองเลขาธิการสมาคมผู้ค้าทองคำ เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมราคาทองคำในปีนี้ ถือเป็นช่วงขาขึ้น เนื่องจากว่าเศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวทำให้การลงทุนในทองคำสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน แต่การลงทุนในทองคำในปีนี้ค่อนข้างที่จะผันผวนสูงกว่าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวมแล้วจะพบว่าไม่มีการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนดีเท่ากับการลงทุนในทองคำ เพราะว่าในรอบ 50ปีที่ผ่านมานั้นปีนี้ถือว่าเป็นปีทองของทองคำก็ว่าได้
ทั้งนี้ หากนักลงทุนที่สนใจลงทุนในทองคำควรที่จะจัดสรรสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสม โดยให้นักลงทุนควรเลือกกระจายการลงทุนให้มากขึ้น กว่าการทุ่มซื้อทองคำในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเพียงครั้งเดียว
สำหรับความผันผวนของราคาทองคำที่จะเกิดขึ้นนั้น ถือว่าเป็นความเสี่ยงในการลงทุนมาก ดังนั้นนักลงทุนควรที่จะศึกษาพร้อมบริหารความเสี่ยงให้ดี โดยนักลงทุนควรจัดสรรการลงทุนในปีที่เศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยการแบ่งลงทุนในทองคำและถือเงินสดไว้เพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม การถือเงินสดไว้กับตัวในช่วงเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้นักลงทุนมีโอกาสทำกำไรสูงในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงมามากอย่างนี้ โดยมองว่าหากนักลงทุนถือเงินสดไว้กับตัวแล้วราคาทองมีการปรับตัวลดลงนักลงทุนสามารถเข้าทำการซื้อทองคำได้ทันที ซึ่งหลังจากนี้มีการมองว่าราคาทองคำจะมีการปรับตัวลดลงเหมือนกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างหนักไปเมื่อเดือนธันวาคม 2551 ซึ่งไม่มีใครประเมินไว้ล่วงหน้าว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงจาก 147 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 40 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ แต่ราคาทองคำนั้นไม่ได้มีทิศทางไปในทางเดียวกับราคาน้ำมันเหมือนเช่นที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เนื่องจากว่า ก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาทองคำก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลดลงราคาทองคำซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจะปรับตัวลดลงตามกลับปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงถือว่าทองคำมีราคาสวนทางกับราคาน้ำมันอย่างสิ้นเชิง
" ราคาทองคำ ถือว่า ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยต่ำก็จะส่งผลดีต่อราคาทองคำมาก เพราะจะทำให้กองทุนเฮจด์ฟันด์จะทุ่มเงินเข้ามาซื้อทองคำ โดยแทบไม่ต้องเสียดอกเบี้ย จึงทำให้เฮจด์ฟันด์ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น" นายกฤชรัตน์ กล่าว
จากการที่หลายฝ่ายกลัวว่าจากการที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงมาก จะทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆนำทองคำออกมาขายเพื่อทำกำไร ซึ่งจากจุดนี้ประเมินว่ามี โอกาสน้อยมาก เนื่องจากได้มีการเทขายทองคำไปแล้วในก่อนหน้านี้แล้ว เพราะในเทขายทองของธนาคารกลางต่างๆนั้นเกี่ยวข้องกับ วอชิงตันเมนท์ที่จะไม่ให้ขายเกินกว่าราคาที่กำหนดคือปีละ 500 ตันและมีการควบคุมราคาทองคำอยู่แล้ว ขณะเดียวกันการธนาคารต่างๆได้เริ่มกลับเข้ามาซื้อทองคำมากขึ้น เนื่องจากธนาคารเริ่มกังวลต่อมูลค่าพันธบัตรต่างๆ อาจปรับตัวลดลงไปมาก
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำในปีที่ผ่านมานั้น พบว่าราคาต่ำสุดอยู่ที่ 700 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ราคาสูงสุดอยู่ที่ 1,030 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าราคาทองคำในตลาดโลกยังมีความน่าสนใจมาก นอกจากนี้ ฐานราคาทองคำในปีต่อไปนั้นคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอด
"ราคาทองคำหลังจากนี้ไปจนถึงปลายปีจะค่อนข้างผันผวนมาก แต่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปีนี้มีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 950 เหรียญดอลลาร์ แต่จะถึง 1,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐหรือไม่จะต้องดูแนวโน้มว่าจะมีปัจจัยได้บ้างที่เข้ามากระทบ แต่ทั้งนี้โอกาสที่ราคาทองจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1,033 เหรียญดอลลาร์สหรัฐยังมีความเป็นไปได้"
นายกฤชรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการซื้อขายสัญญาซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทอง (โกล์ด ฟิวเจอร์ส)ที่จะมีการซื้อขายในวันที่ 2กุมภาพันธ์ 2552 ที่จะถีงนั้น ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้แก่นักลงทุนได้เข้าถึงตลาดทองคำมากยิ่งขึ้น โดยข้อดีของการซื้อขายในตลาดทองคำล่วงหน้านั้น คือนักลงทุนไม่ต้องนำเงินสดติดตัวไปซื้อทองคำ เพราะในส่วนของการลงทุนในโกล์ด ฟิวเจอร์ส จะใช้เม็ดเงินลงทุนเพียง 10% ของการลงทุน แต่ยังมีความเสี่ยงในการลงทุนที่สูงเช่นกัน
นายกฤชรัตน์ หิรัชศิริ รองเลขาธิการสมาคมผู้ค้าทองคำ เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมราคาทองคำในปีนี้ ถือเป็นช่วงขาขึ้น เนื่องจากว่าเศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวทำให้การลงทุนในทองคำสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน แต่การลงทุนในทองคำในปีนี้ค่อนข้างที่จะผันผวนสูงกว่าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวมแล้วจะพบว่าไม่มีการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนดีเท่ากับการลงทุนในทองคำ เพราะว่าในรอบ 50ปีที่ผ่านมานั้นปีนี้ถือว่าเป็นปีทองของทองคำก็ว่าได้
ทั้งนี้ หากนักลงทุนที่สนใจลงทุนในทองคำควรที่จะจัดสรรสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสม โดยให้นักลงทุนควรเลือกกระจายการลงทุนให้มากขึ้น กว่าการทุ่มซื้อทองคำในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเพียงครั้งเดียว
สำหรับความผันผวนของราคาทองคำที่จะเกิดขึ้นนั้น ถือว่าเป็นความเสี่ยงในการลงทุนมาก ดังนั้นนักลงทุนควรที่จะศึกษาพร้อมบริหารความเสี่ยงให้ดี โดยนักลงทุนควรจัดสรรการลงทุนในปีที่เศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยการแบ่งลงทุนในทองคำและถือเงินสดไว้เพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม การถือเงินสดไว้กับตัวในช่วงเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้นักลงทุนมีโอกาสทำกำไรสูงในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงมามากอย่างนี้ โดยมองว่าหากนักลงทุนถือเงินสดไว้กับตัวแล้วราคาทองมีการปรับตัวลดลงนักลงทุนสามารถเข้าทำการซื้อทองคำได้ทันที ซึ่งหลังจากนี้มีการมองว่าราคาทองคำจะมีการปรับตัวลดลงเหมือนกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างหนักไปเมื่อเดือนธันวาคม 2551 ซึ่งไม่มีใครประเมินไว้ล่วงหน้าว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงจาก 147 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 40 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ แต่ราคาทองคำนั้นไม่ได้มีทิศทางไปในทางเดียวกับราคาน้ำมันเหมือนเช่นที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เนื่องจากว่า ก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาทองคำก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลดลงราคาทองคำซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจะปรับตัวลดลงตามกลับปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงถือว่าทองคำมีราคาสวนทางกับราคาน้ำมันอย่างสิ้นเชิง
" ราคาทองคำ ถือว่า ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยต่ำก็จะส่งผลดีต่อราคาทองคำมาก เพราะจะทำให้กองทุนเฮจด์ฟันด์จะทุ่มเงินเข้ามาซื้อทองคำ โดยแทบไม่ต้องเสียดอกเบี้ย จึงทำให้เฮจด์ฟันด์ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น" นายกฤชรัตน์ กล่าว
จากการที่หลายฝ่ายกลัวว่าจากการที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงมาก จะทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆนำทองคำออกมาขายเพื่อทำกำไร ซึ่งจากจุดนี้ประเมินว่ามี โอกาสน้อยมาก เนื่องจากได้มีการเทขายทองคำไปแล้วในก่อนหน้านี้แล้ว เพราะในเทขายทองของธนาคารกลางต่างๆนั้นเกี่ยวข้องกับ วอชิงตันเมนท์ที่จะไม่ให้ขายเกินกว่าราคาที่กำหนดคือปีละ 500 ตันและมีการควบคุมราคาทองคำอยู่แล้ว ขณะเดียวกันการธนาคารต่างๆได้เริ่มกลับเข้ามาซื้อทองคำมากขึ้น เนื่องจากธนาคารเริ่มกังวลต่อมูลค่าพันธบัตรต่างๆ อาจปรับตัวลดลงไปมาก
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำในปีที่ผ่านมานั้น พบว่าราคาต่ำสุดอยู่ที่ 700 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ราคาสูงสุดอยู่ที่ 1,030 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าราคาทองคำในตลาดโลกยังมีความน่าสนใจมาก นอกจากนี้ ฐานราคาทองคำในปีต่อไปนั้นคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอด
"ราคาทองคำหลังจากนี้ไปจนถึงปลายปีจะค่อนข้างผันผวนมาก แต่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปีนี้มีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 950 เหรียญดอลลาร์ แต่จะถึง 1,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐหรือไม่จะต้องดูแนวโน้มว่าจะมีปัจจัยได้บ้างที่เข้ามากระทบ แต่ทั้งนี้โอกาสที่ราคาทองจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1,033 เหรียญดอลลาร์สหรัฐยังมีความเป็นไปได้"
นายกฤชรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการซื้อขายสัญญาซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทอง (โกล์ด ฟิวเจอร์ส)ที่จะมีการซื้อขายในวันที่ 2กุมภาพันธ์ 2552 ที่จะถีงนั้น ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้แก่นักลงทุนได้เข้าถึงตลาดทองคำมากยิ่งขึ้น โดยข้อดีของการซื้อขายในตลาดทองคำล่วงหน้านั้น คือนักลงทุนไม่ต้องนำเงินสดติดตัวไปซื้อทองคำ เพราะในส่วนของการลงทุนในโกล์ด ฟิวเจอร์ส จะใช้เม็ดเงินลงทุนเพียง 10% ของการลงทุน แต่ยังมีความเสี่ยงในการลงทุนที่สูงเช่นกัน