xs
xsm
sm
md
lg

การลงทุนใน Gold Futures (ตอน 2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คอลัมน์ถนนสู่การลงทุน

การซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สนั้นมีขั้นตอนและวิธีการที่แตกต่างจากการซื้อขายหุ้นสามัญโดยทั่วไป และซื้อขายทองคำ เพราะโกลด์ฟิวเจอร์สเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่ผู้ลงทุนจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งจำนวน ในการซื้อทองคำ หรือหุ้นสามัญเช่นเดียวกับการซื้อทองเก็งกำไรทั่วไป หรือการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์ส จะวางเงินส่วนหนึ่งซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญาทั้งจำนวนไว้กับโบรกเกอร์อนุพันธ์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อเป็นเงินมัดจำ ตามหลักการแล้วเงินจำนวนที่นำไปวางนี้เรียกว่า เงินหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin)

เงินหลักประกันขั้นต้น เป็นเงินลงทุนจำนวนไม่มากนัก ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้อัตราผลตอบแทนสูงจากการลงทุนเมื่อเทียบกับเงินทุนที่ได้จ่ายเพื่อเป็นเงินหลักประกันขั้นต้น เช่น ผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5% จึงลงทุนซื้อทองคำน้ำหนัก 50 บาท ในราคาบาทละ 14,000 บาท เพื่อเก็งกำไร โดยผู้ลงทุนจะต้องใช้เงินทุนเพื่อซื้อทองคำทั้งหมด โดยมีมูลค่ารวม 700,000 บาท แต่หากผู้ลงทุนซื้อโกลด์ฟิวเจอร์ส จะใช้เงินทุนเพื่อวางเป็นหลักประกันขั้นต้นประมาณ 50,000 บาท ซึ่งหากราคาทองคำสูงขึ้นจริง ผู้ลงทุนที่ซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สก็มีโอกาสได้รับอัตราผลกำไรสูงกว่าการซื้อทองคำจริง เพราะการลงทุนในทองคำจริงนั้นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากกว่า

ตัวอย่าง เช่น วันที่ 1 มีนาคม 2552 ราคาทองคำหนัก 1 บาท เท่ากับ 14,000 บาท หากลงทุนโดยการซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไรจำนวนหนัก 50 บาท ผู้ลงทุนจะต้องจ่ายเงินซื้อทองมูลค่า 700,000 บาท และเมื่อครบสองเดือนในวันที่ 27 เมษายน 2552 ราคาทองคำหนัก 1 บาทในตลาดขยับเป็น 14,700 บาท หรือคิดเป็นมูลค่า 735,000 บาท ผู้ลงทุนจะได้กำไร 35,000 บาท จากการลงทุนทั้งหมด 700,000 บาท หรือคิดเป็นกำไรร้อยละ 5

แต่ถ้าผู้ลงทุนได้ทำการลงทุนใน โกลด์ฟิวเจอร์สที่จะครบกำหนดเดือนเมษายน ซึ่งมีราคาซื้อขายล่วงหน้า 14,500 บาท โดยวางเงินประกันเริ่มแรก 50,000 บาท และเมื่อครบสองเดือนในวันที่ 27 เมษายน 2552 ราคาทองคำหนัก 1 บาทในตลาดขยับเป็น 14,700 บาท หรือคิดเป็นมูลค่า 735,000 บาท ผู้ลงทุนจะได้กำไรในทองคำน้ำหนักบาทละ 200 บาท (ซื้อ 14,500 – ขาย 14,700) จำนวนทองคำหนัก 50 บาท คิดรวมเป็นเงิน 10,000 บาท จากการลงทุนทั้งหมด 50,000 บาท หรือคิดเป็นกำไรร้อยละ 20

กรณีราคาทองคำขาลง ผู้ลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากทองคำ และมีทองคำอยู่ในมืออยู่แล้ว ผู้ลงทุนสามารถเร่งขายทองคำในช่วงที่ราคาทองคำยังสูง และค่อยซื้อทองคำกลับคืนหลังจากราคาทองปรับตัวลดลง สำหรับ ผู้ที่ไม่มีทองคำอยู่ในมือก็จะไม่สามารถใช้วิธีนี้สร้างกำไรได้

โกลด์ฟิวเจอร์สช่วยเพิ่ม โอกาสทำกำไรโดยใช้ต้นทุนที่ต่ำได้ เนื่องจากผู้ลงทุนสามารถวางเงินแค่หลักประกันขั้นต้น ก็สามารถทำการขายโกลด์ฟิวเจอร์สก่อน เพื่อทำกำไรในตลาดทองคำขาลง
ตัวอย่าง วันที่ 1 มิถุนายน ผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองคำจะลดลงในอนาคต ผู้ลงทุนจึงขายทองคำที่มีอยู่ น้ำหนัก 50 บาท ในราคาทองคำน้ำหนักบาทละ 14,000 บาท และได้รับเงินจากการขาย 700,000 บาท และซื้อทองคำหนัก 50 บาท คืนในวันที่ 30 เมษายน น้ำหนักบาทละ 13,300 บาท มูลค่า 665,000 บาท ดังนั้นผู้ลงทุนจะได้กำไรจากการขายแล้วซื้อกลับ เท่ากับ 700,000 – 665,000 = 35,000 บาท (หรือคิดเป็นกำไร 5%)

แต่ถ้าผู้ลงทุนได้ทำการขายโกลด์ฟิวเจอร์สที่จะครบกำหนดเดือนกันยายนในวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งมีราคาซื้อขายล่วงหน้า 13,700 บาท โดยวางเงินประกันเริ่มแรก 50,000 บาท ในในวันที่ 15 มิถุนายน 2552 ราคาทองคำหนัก 1 บาทในตลาดขยับเป็น 13,300 บาท หรือคิดเป็นมูลค่า 665,000 บาท ผู้ลงทุนจะได้กำไร (ขาย 13,700 – ซื้อ 13,300) * น้ำหนัก 50 บาท = 20,000 บาท (หรือคิดเป็นกำไร 40%)

ราคาซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส เป็นคาดการณ์ราคาทองคำในอนาคตของผู้ลงทุน แม้ว่าราคาที่ซื้อขาย จะไม่ใช่ราคาเดียวกับราคาทองคำที่ซื้อขายและส่งมอบกันจริงในตลาด แต่ก็มีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน โดยผลจากการศึกษาทางสถิติ ( ข้อมูลในช่วง ก.พ. 2541 – มิ.ย. 2550) (ข้อมูลจาก www.tfex.co.th) พบว่า ราคาทองคำมีทิศทางการ เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับหลักทรัพย์ชนิดอื่น ๆ โดยเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนจะพบว่าทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ติดลบสูงสุดเท่ากับ -0.24 และเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ติดลบเท่ากับ -0.09 (การที่มีค่า Correlation ติดลบ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้าม จึงเหมาะแก่การกระจายการลงทุน และลดความเสี่ยง) ดังนั้นโกลด์ฟิวเจอร์ส จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกระจายการลงทุน

นอกจากนี้ ราคาทองคำยังเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับดัชนีราคาผู้บริโภคและราคาน้ำมัน การซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใน การกระจายการลงทุนที่เรียกว่า การลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง จากภาวะเงินเฟ้อได้ (Inflation Hedge)
กำลังโหลดความคิดเห็น