บลจ.บีที ชี้ราคาทองคำพุ่ง ไม่ผิดคาด มองแนวโน้มพุ่งถึงทะลุ 1,020 เหรียญ/ต่อออนซ์ แต่ระยะสั้นยังผันผวน ส่วนระยะยาวไม่ห่วง ยังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นอีก 1-2 ปี ระบุแผนไอเอ็มเอฟ ขอฉันทามติประเทศสมาชิกนำทองคำที่เป็นทุนสำรองออกมาขาย ปัจจัยกดดันราคา มองระดับต่ำสุด ไม่หลุด 800 เหรียญ/ต่อออนซ์
นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ราคาทองคำโลกมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ได้ทำการวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่เริ่มแรก ซึ่งคาดว่าราคาทองคำจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกประมาณ 1- 2 ปี นอกจากนี้ ยังคาดว่าราคาทองคำจะยังไม่หลุดต่ำไปกว่า 950 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และคาดว่าน่าจะมีการปรับสูงขึ้นไปอีกเป็น 1,020 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ทั้งนี้ ในช่วงระยะสั้น แนวโน้มของราคาทองคำในยังคงมีความผันผวนบ้าง แต่เป็นการแกว่งตัวที่ไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่าน ๆ มา นอกจากนี้แล้วเชื่อว่า ในช่วงระยะยาวจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และยังเป็นเทรนด์ขาขึ้นอยู่ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเข้าไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ หรือคอมมอดิตี้ เช่น ทองคำ หรือ น้ำมัน จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน
"เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ว่าราคาทองคำจะมีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำอยู่ที่ 950 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และคาดว่าราคาทองคำจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกไปจนถึง 1,020 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ นอกจากนี้ ยังมองว่าทิศทางราคาทองคำยังคงอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นไปอีกในระยะยาวพอสมควร" นายเจิดพันธุ์กล่าว
สำหรับปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ นายเจิดพันธุ์กล่าวว่า กรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จะขอฉันทามติประเทศสมาชิกเพื่อนำทองคำที่เป็นทุนสำรองออกมาขายกระบวนการนี้ใช้เวลา 1 ปี เป็นปัจจัยที่กดดันราคาทองคำไม่ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ราคาต่ำสุดในระยะเวลา 1 ปีน่าจะอยู่ที่ 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ได้เปิดขายกองทุนรวมใบีที FIF โกลด์ลิงค์ ฟันด์ 5 ที่บริษัทได้เปิดขายไอพีโอไปเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะนี้ผลการดำเนินงานยังไม่ออก เพราะคงต้องรอให้ครบ 3 เดือนก่อนถึงจะเปิดเผยได้ ส่วนกองทุนทองคำกองต่อไปนั้น ขณะนี้บริษัทเองยังไม่มีนโยบายที่จัดตั้ง
สำหรับกองทุนรวมบีที FIF โกลด์ลิงค์ ฟันด์ 5 มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากคุ้มครองเงินต้นและปิดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปลงทุนในสกุลเหรียญสหรัฐ โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ในต่างประเทศที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือ หรือเรตติ้งในระดับ BBB+ ขึ้นไป ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีได้ยอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้
ด้านบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยบทวิจัย บทวิจัยแนวโน้มตลาดทองคำ ประจำวันที่ 11-18 กันยายน 2552 ว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้ยังมีแนวโน้มที่จะบวกต่ออีกเล็กน้อยหลังจากที่ราคาสามารถผ่าน Psychological Resistance ที่สำคัญที่ระดับราคา 1,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และจะยังคงสนับสนุนให้มีการเข้าซื้อสะสมเชิงเทคนิค ทว่านักลงทุนควรระวังการขายทำกำไรด้วยเช่นกันหลังสัญญาณ Fast-Stochastic พึ่งจะเคลื่อนตัวลงจากระดับ Over-Bought และ RSI ยังคงอยู่ที่ระดับ Over-Bought จึงอาจส่งผลทำให้มีการขายทำกำไรเชิงเทคนิคระยะสั้นๆได้
โดยทองคำระยะสัปดาห์ดูเป็นตลาด Bull และราคาจะเคลื่อนตัวขึ้นต่อโดยมีเป้าราคาต่อไปที่ระดับ 1,010 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ถึง 1,035 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก่อนที่จะปรับฐานครั้งต่อไป แต่หากราคาปรับตัวต่ำกว่า 965 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และ 940 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ตามลำดับ จะทำให้ดูว่าราคาเป็นขาลงในสัปดาห์หน้า และเป้าราคาด้านล่างต่อไปอยู่ที่ 927 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และ 905 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ตามลำดับ
นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ราคาทองคำโลกมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ได้ทำการวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่เริ่มแรก ซึ่งคาดว่าราคาทองคำจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกประมาณ 1- 2 ปี นอกจากนี้ ยังคาดว่าราคาทองคำจะยังไม่หลุดต่ำไปกว่า 950 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และคาดว่าน่าจะมีการปรับสูงขึ้นไปอีกเป็น 1,020 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ทั้งนี้ ในช่วงระยะสั้น แนวโน้มของราคาทองคำในยังคงมีความผันผวนบ้าง แต่เป็นการแกว่งตัวที่ไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่าน ๆ มา นอกจากนี้แล้วเชื่อว่า ในช่วงระยะยาวจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และยังเป็นเทรนด์ขาขึ้นอยู่ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเข้าไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ หรือคอมมอดิตี้ เช่น ทองคำ หรือ น้ำมัน จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน
"เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ว่าราคาทองคำจะมีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำอยู่ที่ 950 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และคาดว่าราคาทองคำจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกไปจนถึง 1,020 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ นอกจากนี้ ยังมองว่าทิศทางราคาทองคำยังคงอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นไปอีกในระยะยาวพอสมควร" นายเจิดพันธุ์กล่าว
สำหรับปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ นายเจิดพันธุ์กล่าวว่า กรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จะขอฉันทามติประเทศสมาชิกเพื่อนำทองคำที่เป็นทุนสำรองออกมาขายกระบวนการนี้ใช้เวลา 1 ปี เป็นปัจจัยที่กดดันราคาทองคำไม่ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ราคาต่ำสุดในระยะเวลา 1 ปีน่าจะอยู่ที่ 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ได้เปิดขายกองทุนรวมใบีที FIF โกลด์ลิงค์ ฟันด์ 5 ที่บริษัทได้เปิดขายไอพีโอไปเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะนี้ผลการดำเนินงานยังไม่ออก เพราะคงต้องรอให้ครบ 3 เดือนก่อนถึงจะเปิดเผยได้ ส่วนกองทุนทองคำกองต่อไปนั้น ขณะนี้บริษัทเองยังไม่มีนโยบายที่จัดตั้ง
สำหรับกองทุนรวมบีที FIF โกลด์ลิงค์ ฟันด์ 5 มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากคุ้มครองเงินต้นและปิดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปลงทุนในสกุลเหรียญสหรัฐ โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ในต่างประเทศที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือ หรือเรตติ้งในระดับ BBB+ ขึ้นไป ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีได้ยอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้
ด้านบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยบทวิจัย บทวิจัยแนวโน้มตลาดทองคำ ประจำวันที่ 11-18 กันยายน 2552 ว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้ยังมีแนวโน้มที่จะบวกต่ออีกเล็กน้อยหลังจากที่ราคาสามารถผ่าน Psychological Resistance ที่สำคัญที่ระดับราคา 1,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และจะยังคงสนับสนุนให้มีการเข้าซื้อสะสมเชิงเทคนิค ทว่านักลงทุนควรระวังการขายทำกำไรด้วยเช่นกันหลังสัญญาณ Fast-Stochastic พึ่งจะเคลื่อนตัวลงจากระดับ Over-Bought และ RSI ยังคงอยู่ที่ระดับ Over-Bought จึงอาจส่งผลทำให้มีการขายทำกำไรเชิงเทคนิคระยะสั้นๆได้
โดยทองคำระยะสัปดาห์ดูเป็นตลาด Bull และราคาจะเคลื่อนตัวขึ้นต่อโดยมีเป้าราคาต่อไปที่ระดับ 1,010 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ถึง 1,035 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก่อนที่จะปรับฐานครั้งต่อไป แต่หากราคาปรับตัวต่ำกว่า 965 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และ 940 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ตามลำดับ จะทำให้ดูว่าราคาเป็นขาลงในสัปดาห์หน้า และเป้าราคาด้านล่างต่อไปอยู่ที่ 927 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และ 905 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ตามลำดับ