บลจ.บีที โชว์ศักยภาพกองทุนทองคำ ตั้งแต่ต้นปีให้ผลตอบแทนเหนือเบนซ์มาร์กทั้งสองกองทุน ถึงแม้ราคาทองคำยังคงมีความผันผวน เผยอยู่ระหว่างวางแผนออก “ โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 4” แต่ต้องราคาทองคำผันผวนน้อยลงหรือเริ่มนิ่งมากขึ้นก่อน
นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยถึงราคาทองคำที่มีความผันผวนอยู่ในขณะนี้ว่า สำหรับกองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 2 และกองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 3 นั้นไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากว่าทั้งสองของทุนของบริษัทมีนโยบายการลงทุนที่อิงกับราคาทองคำเท่านั้น ซึ่งบริษัทไม่ได้เข้าไปลงทุนในทองคำโดยตรง
ทั้งนี้ กองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 2 ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2551 ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 4.58% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 0.18% ผลตอบแทนย้อนหลังให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 1.41% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -10.58% ผลตอบแทนย้อนหลังให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 4.14% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -12.24% และผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 4.87% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 17.44% ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 780.41 ล้านบาท และมีมูลค่ากองทุนอยู่ที่ 10.48 บาทต่อหน่วย
ส่วนกองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 3 ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 3.67% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 0.18% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.66% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -10.58% ผลตอบแทนย้อนหลังให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 3.38% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -12.24% และผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 3.49% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 5.23% ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 765.49 ล้านบาท และมีมูลค่ากองทุนอยู่ที่ 10.34บาทต่อหน่วย
“กองทุนทั้งสองกองทุนนั้น ไม่ได้รับผลกระทบไม่ว่าราคาทองคำจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ซึ่งเดิมกำหนดไว้ว่าหากการแกว่งตัวของราคาทองคำอยู่ในช่วงที่กำหนดไว้ คือ บวกลบ จะ16 เหรียญ ในสัปดาห์นั้น จะได้ผลตอบแทนในอัตรา 9% แต่หากสัปดาห์ใด ราคาทองคำผันผวนออกนอกกรอบช่วงที่กำหนด ในสัปดาห์นั้นผลตอบแทน จะเท่ากับ 0% แต่ปรากฏว่าในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการปรับช่วงของการแกว่งตัวของราคาทองคำเพิ่มขึ้นจากเดิม บวกลบ 16 เหรียญ เพิ่มเป็น 20 เหรียญ ซึ่งเท่ากับเป็นการขยายการเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนของผู้ลงทุนให้กว้างขึ้นด้วย”นายเจิดพันธุ์กล่าว
ทั้งนี้ กองทุนทองคำของบริษัทนั้น มีนโยบายการลงทุนในสกุลเงินออสเตรเลีย ซึ่งผลตอบแทนอิงกับราคาทองคำ และเป็นการลงทุนใน Structure note ที่มีระดับความน่าเชื่อถือ AA ซึ่งมีโอกาสที่จะได้ผลกำไร เพราะจากสถิติย้อนหลังไป 10 ปี ราคาทองจะผันผวนอยู่ในกรอบถึงประมาณ 50-60% ซึ่งก็จะเท่ากับมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในอัตราประมาณ 4-5% และยังมีโอกาสในเรื่องของผลประโยชน์ที่จะได้จากค่าเงินออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอีก
ขณะเดียวกัน กองทุนประเภทดังกล่าวถือเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่ต้องการให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในช่วงปัญหาเงินเฟ้อ และน้ำมันแพง เนื่องจากว่ากองทุนเข้าไปลงทุนในสกุลเงินออสเตรเลียซึ่งมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเงินบาทและเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างให้ความสนใจกับการลงทุนแบบ Structure note มากขึ้น เพราะนักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนแบบดังกล่าวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งกองทุนดังกล่าวยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีแก่นักลงทุน
นายเจิดพันธุ์ กล่าวว่า ส่วนกองทุนที่อิงกับราคาทองคำ กองที่ 4 นั้น บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาถึงความเหมาะสมอยู่ เนื่องจากราคาทองคำในปัจจุบันเริ่มมีความผันผวนน้อยลงหรือเริ่มนิ่งมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ที่ราคาทองคำมีการปรับสูงขึ้น ทำให้สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ดังนั้นบริษัทต้องขอเวลาศึกษา หรือพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง
นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยถึงราคาทองคำที่มีความผันผวนอยู่ในขณะนี้ว่า สำหรับกองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 2 และกองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 3 นั้นไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากว่าทั้งสองของทุนของบริษัทมีนโยบายการลงทุนที่อิงกับราคาทองคำเท่านั้น ซึ่งบริษัทไม่ได้เข้าไปลงทุนในทองคำโดยตรง
ทั้งนี้ กองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 2 ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2551 ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 4.58% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 0.18% ผลตอบแทนย้อนหลังให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 1.41% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -10.58% ผลตอบแทนย้อนหลังให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 4.14% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -12.24% และผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 4.87% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 17.44% ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 780.41 ล้านบาท และมีมูลค่ากองทุนอยู่ที่ 10.48 บาทต่อหน่วย
ส่วนกองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 3 ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 3.67% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 0.18% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.66% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -10.58% ผลตอบแทนย้อนหลังให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 3.38% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -12.24% และผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 3.49% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 5.23% ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 765.49 ล้านบาท และมีมูลค่ากองทุนอยู่ที่ 10.34บาทต่อหน่วย
“กองทุนทั้งสองกองทุนนั้น ไม่ได้รับผลกระทบไม่ว่าราคาทองคำจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ซึ่งเดิมกำหนดไว้ว่าหากการแกว่งตัวของราคาทองคำอยู่ในช่วงที่กำหนดไว้ คือ บวกลบ จะ16 เหรียญ ในสัปดาห์นั้น จะได้ผลตอบแทนในอัตรา 9% แต่หากสัปดาห์ใด ราคาทองคำผันผวนออกนอกกรอบช่วงที่กำหนด ในสัปดาห์นั้นผลตอบแทน จะเท่ากับ 0% แต่ปรากฏว่าในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการปรับช่วงของการแกว่งตัวของราคาทองคำเพิ่มขึ้นจากเดิม บวกลบ 16 เหรียญ เพิ่มเป็น 20 เหรียญ ซึ่งเท่ากับเป็นการขยายการเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนของผู้ลงทุนให้กว้างขึ้นด้วย”นายเจิดพันธุ์กล่าว
ทั้งนี้ กองทุนทองคำของบริษัทนั้น มีนโยบายการลงทุนในสกุลเงินออสเตรเลีย ซึ่งผลตอบแทนอิงกับราคาทองคำ และเป็นการลงทุนใน Structure note ที่มีระดับความน่าเชื่อถือ AA ซึ่งมีโอกาสที่จะได้ผลกำไร เพราะจากสถิติย้อนหลังไป 10 ปี ราคาทองจะผันผวนอยู่ในกรอบถึงประมาณ 50-60% ซึ่งก็จะเท่ากับมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในอัตราประมาณ 4-5% และยังมีโอกาสในเรื่องของผลประโยชน์ที่จะได้จากค่าเงินออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอีก
ขณะเดียวกัน กองทุนประเภทดังกล่าวถือเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่ต้องการให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในช่วงปัญหาเงินเฟ้อ และน้ำมันแพง เนื่องจากว่ากองทุนเข้าไปลงทุนในสกุลเงินออสเตรเลียซึ่งมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเงินบาทและเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างให้ความสนใจกับการลงทุนแบบ Structure note มากขึ้น เพราะนักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนแบบดังกล่าวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งกองทุนดังกล่าวยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีแก่นักลงทุน
นายเจิดพันธุ์ กล่าวว่า ส่วนกองทุนที่อิงกับราคาทองคำ กองที่ 4 นั้น บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาถึงความเหมาะสมอยู่ เนื่องจากราคาทองคำในปัจจุบันเริ่มมีความผันผวนน้อยลงหรือเริ่มนิ่งมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ที่ราคาทองคำมีการปรับสูงขึ้น ทำให้สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ดังนั้นบริษัทต้องขอเวลาศึกษา หรือพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง
