บลจ.เข็นกองตราสารหนี้ Structured Note เพิ่มทางเลือกลงทุนรับมือหุ้น-ดอกเบี้ยที่ผันผวน เหตุรับผลตอบแทน 2 เด้ง ทั้งจากผลตอบแทนปกติ และจากการคาดการณ์ดัชนีหุ้นไม่ว่าขึ้นหรือลดลง ผู้จัดการกองทุนชี้จะได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนมากสุดในช่วงนี้ หลังยิลด์บอนด์ต่างประเทศมีเหลือน้อย อีกทั้งยังเป็นกองทุนที่มีการคุ้มครองเงิน จึงเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่เจ้าขอเงินได้สูง
นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าววถึงทิศทางตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมาว่า ผลตอบเเทนของตราสารหนี้ปรับตัวอย่างรุนเเรงในช่วง2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา เพราะหลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ว่าเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคมน่าจะปรับลดลงจากเดือนมิถุนายนที่เเตะอยู่ 8.9% ทำให้มีการซื้อขายตราสารหนี้กันมากขึ้น แต่หลังจากที่ทางธนาคารหลายแห่งมีประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ ออกมาเป็น 9.2% ซึ่งเมื่อสังเกตดูจะเห็นได้ว่าตลาดมีการซื้อขายเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
ขณะเดียวกัน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.อยุธยา กล่าวว่า เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในระยะนี้เนื่องจากสินค้าต่างๆมีราคาที่เเพงขึ้น เช่นราคาน้ำมัน แต่ไม่ได้เกิดจากการต้องการในการลงทุนเพิ่ม ทำให้หลายฝ่ายมองว่าอาจจะเป็นการเเก้ปัญหาไม่ถูกจุด เพราะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้คนที่เเบกรับภาระราคาน้ำมันเเละสินค้าที่ขึ้นราคาลดการใช้จ่ายในค่าครองชีพลง
"ช่วงนี้ราคาสินค้าคอมมอดิตี้ลดลง น่าจะทำให้เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นลดลงอีกด้วย ประกอบกับมาตรการของรัฐบาลที่ลดภาษีน้ำมันน่าจะช่วยสนับสนุนการปรับลดดังกล่าวอีกทางหนึ่ง ซึ่งการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะประชุมอีกครั้งในวันที่ 27 สิงหาคม นี้จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% ส่วนกองทุนตราสารหนี้ที่น่าสนใจในช่วงนี้ น่าจะเป็นตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) โดยทางบลจ.อยุธยาก็ดูไว้เหมือนกัน" นายอาสากล่าว
สำหรับ Structured Note ที่อิงผลตอบเเทนคอมมอดิตี้ทั้งราคาน้ำมัน ราคาทองคำ เเละอิงดัชนี SET INDEX หรือ SET 50 ดูจะได้รับความนิยมในช่วงนี้ เนื่องจากการลงทุนในตราสารหนี้เเบบที่เคยลงทุนในพันธบัตรเกาหลี หรือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินทวีปยุโรป (ECP) เเละพันธบัตรรัฐบาลไทย ในช่วงนี้ให้ผลตอบเเทนน้อยลง ทางบลจ.จึงพยายามหาทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้า ซึ่งทางเลือกนี้ก็คือ การนำเงินไปลงทุนในออปชั่น ซึ่งมีลูกเล่นที่ง่ายที่สุด คือนำเงิน 100 บาท ไปลงทุนในตราสารหนี้ 95 บาท อีก 5 บาท ไปซื้อออปชั่น ถ้า ณ วันที่กองทุนหมดอายุ 3 เดือนหรือ 6 เดือนข้างหน้า และถ้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ต่ำกว่า 650 จุด ผู้ลงทุนจะได้ 2% ถ้าเกิน 650 จุด ก็จะได้ 5%
"ถ้าคาดการณ์ครั้งนี้ถูก จะได้รับผลตอบเเทน 5% แต่ถ้าดัชนีไปไม่เป็นไปตามเป้าก็จะได้ผลตอบเเทน 2% ซึ่งถ้าเทียบกับการฝากเงินไว้กับธนาคารอาจจะได้รับผลตอบเเทนน้อยกว่านี้ ที่สำคัญกองทุนประเภทดังกล่าวส่วนใหญ่จะคุ้มครองเงินต้นอยู่เเล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับการฝากเงินธนาคารนั้นการได้รับผลตอบเเทนดีกว่าอย่างเเน่นอน"นายอาสา กล่าว
ด้าน นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงกองทุนStructured Noteว่า กองทุนลักษณะตราสารหนี้ที่ลงทุน Structured Note นั้น ส่วนตัวเชื่อว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้กองทุนประเภทนี้จะมีอายุการลงทุนยาว เพราะส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนที่มีลักษณะของกองทุนคุ้มครองเงินต้นตามสกุลที่ลงทุนนั้นๆ นอกจากนี้นักลงทุนสามารถเห็นผลตอบแทนที่จะได้รับแน่ชัด และมีความเสี่ยงการลงทุนที่จำกัดกว่าการลงทุนอีกหลายประเภท ทำให้ในช่วงที่การลงทุนผันผวนการลงทุนประเภทนี้น่าจะได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่มีลักษณะลงทุนผ่านกองทุนในต่างประเทศหลายกอง หรือลงทุนผ่านกองทุนในต่างประเทศกองทุนเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในตราสารทุน ซึ่งปัจจุบันมีความผันผวนค่อนข้างมาก ทำให้นักลงทุนคงจะไม่มั่นใจและชะลอการลงทุนออกไปก่อน
ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่า กองทุนStructured Noteภายใต้การจัดการของ บลจ.ไอเอ็นจี ประกอบไปด้วย กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ดับบลิวทีไอ ออยล์ ลิ้งค์ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกม เอ็นฮานส์ ลิ้งค์ เเละกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลเด้น สตาร์ ลิ้งค์ ด้าน บลจ. ทิสโก้มีดังนี้กองทุนเปิดทิสโก้ โกลด์ ลิ้งค์ ฟันด์ กองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า ลิ้งค์ คุ้มครองเงินต้น 1-3 กองทุนทิสโก้ เจแปน ลิ้งค์ คุ้มครองเงินต้น เเละกองทุนเปิดทิสโก้ เซ็ท 50 ลิ้งค์ ฟันด์
ส่วนบลจ.บีทีได้เเก่ กองทุนรวมบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 2 เเละกองทุนรวมบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 3 ขณะที่บลจ.ไทยพาณิชย์มีกองทุนประเภทดังกล่าวดังนี้ คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ออลย์ ลิงค์ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เสถียรทรัพย์พรีเมียม 5 เเละกองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ ลิงค์ 1-3
