บลจ. บีทีปรับแผนการลงทุนใหม่ ครึ่งปีแรก2552 เน้นออกกองทุนบอนด์ และกองทุนที่เป็นสตักเจอร์โน้ต ส่วนครึ่งหลัง หวังเปิดขายอีก 2 พร้อพเพอร์ตี้ฟันด์ที่ค้างสต็อกจากปีนี้ ส่วนช่วงเวลาที่เหลือในปีนี้ เตรียมออกกองทุนสตักเจอร์โน้ตเพิ่มอีก 1 โครงการ เพื่อมาทดแทนกองทุนบีที FIF โกลด์ ลิงด์ ฟันด์ 3 ที่จะครบกำหนด พร้อมกับกองทุนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3-6 เดือน ในประเทศอีก 1 โครงการ ขณะที่มูลค่าเอยูเอ็มอยู่ 36,000 ล้านบาท ลดลง 1,000 ล้านบาทตามภาวะกองทุนหุ้น ล่าสุดเปิดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบมีกรรมสิทธิ์ 101 สโตร์เรจ (อาคารรับฝากสินค้า) ระหว่างวันที่ 20 - 28 พฤศจิกายน 2551 ด้วยมูลค่าโครงการ 603 ล้านบาท โดยรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ 6 ปีแรก ในอัตราไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 7 ต่อปี พร้อมปันผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2552 ว่า จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันยังคงมีความผันผวนอยู่ ดังนั้นบริษัทจึงมีการปรับเปลี่ยนเปลี่ยนแผนการลงทุนใหม่ โดยในครึ่งปีแรกบริษัทจะเน้นออกกองทุนที่ให้ความปลอดภัยสูง ซึ่งจะเป็นกองทุนสตักเจอร์โน้ต หรือ กองตราสารหนี้เป็นหลัก
ส่วนครึ่งปีหลังบริษัทคาดว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้น ทำให้หลาย ๆ บลจ. เตรียมออกกองทุนในรูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ได้เกิดการชะลอตัวมาหลายไตรมาส โดยบริษัทจะออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์)อีก 2 กองทุนจากที่ได้ชะลอตัวไปจากปีนี้ ประกอบด้วย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม ที่มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นประเภทอาคารสำนักงานในย่านใจกลางเมืองกรุงเทพ ที่มีมูลค่า 2,000 ล้านบาท
ณ ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) อยู่ที่ประมาณ 35,000 - 36,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนประมาณ 1,000 - 2,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นการลดลงจากกองทุนรวมเป็นหลัก โดยเฉพาะกองทุนตราสารทุน ซึ่งนักลงทุนต่างยังมีความวิตกกังวลจากเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงเดือนธันวาคม นี้ นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรืออาร์เอ็มเอฟ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือแอลทีเอฟเพิ่มขึ้น เนื่องจากสองกองทุนดังกล่าวสามารถนำสิทธิไปลดหย่อนภาษีได้
ทั้งนี้ในช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนธันวาคม 2551 นี้ บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนรวมที่เป็นสตักเจอร์โน้ตเพิ่มขึ้นอีก 1 กองทุน เพื่อมาทดแทนกองทุนบีที FIF โกลด์ ลิงด์ ฟันด์ 3 ที่จะครบกำหนดอายุของโครงการในวันที่ 7 ธันวาคม นี้ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาว่า จะเป็นการอิงกับราคาทองคำเหมือนอย่างเดิมหรือจะเป็นการอิงกับสกุลเงินตราต่างประเทศหรือในประเทศ โดยจะมีอายุโครงการประมาณ 1 ปี และมีมูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้แล้วบริษัทยังเตรียมที่จะออกกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลในประเทศอีก 1 กองทุน อายุโครงการ 3 - 6 เดือน โดยจะมีมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทเปิดขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบมีกรรมสิทธิ์ 101 สโตร์เรจ (101 Storage Property Fund หรือ STOR) ในวันที่ 20 - 28 พฤศจิกายน 2551 ด้วยมูลค่าโครงการ 603 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 101 บนเนื้อที่กว่า 39 ไร่ สำหรับจุดเด่นของกองทุนนี้จะลงทุนในอาคารรับฝากสินค้า ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนแรกของไทย โดยจะประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ 6 ปีแรก ในอัตราไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 7 ต่อปีโดยมีการค้ำประกันของธนาคารพาณิชย์ และผลตอบแทนของกองทุนจะจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยไม่เกินปีละ 2 ครั้ง
สำหรับกองทุนบีที FIF โกลด์ ลิงด์ ฟันด์ 3 ที่จะครบกำหนดอายุของโครงการในวันที่ 7 ธันวาคม นี้ พบว่ากองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 โดยย้อนหลัง 3 เดือน -1.57% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -15.92% ย้อนหลัง 6 เดือน 2.00% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -15.10% ย้อนหลังตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุน 1.96% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -10.44% และผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 1.78% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -5.93%