แม้ว่าเศรษฐกิจในปีชวดที่ผ่านมาจะประสบกับวิกฤตการณ์ต่างๆจนส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงไปกว่า 50% โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแรงเทของนักลงทุนต่างชาติ ที่หันมาถือครองเงินสดแทนการลงทุนในตลาดหุ้น และจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงไปอย่างมาก แม้กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันโอเปกจะออกมาตรการแก้ไข้ต่างๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าที่จะประสบความสำเร็จ แต่หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆมาจนเลยเข้าสู่ปี2552 ตลาดหุ้นก็มีทีท่าว่าจะสามารถพลิกฟื้นกลับมาอีกครั้ง ซึ่งสังเกตุได้จากการที่ดัชนีสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มนำตลาดไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มของพลังงาน หรือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แถมพ่วงท้ายมาด้วยกลุ่มสื่อสารที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนอยู่ในขณะนี้
สาเหตุที่ตลาดหุ้นได้รับความสนใจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นนั้น หนีไม่พ้นปัจจัยบวกภายนอกประเทศที่เริ่มดีขึ้น แม้สถานการร์ความตรึงเครียดที่ปาเลสไตน์จะสร้างความกังวลในระดับหนึ่งก็ตาม แต่จากการที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐที่มีการปรับตัวลดลงจนเหลือสูงสุดแค่ 2% จนเป็นหนทางที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นสำหรับนักลงทุนที่จำเป็นต้องหันมาพิ่งใช้บริการตลาดหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนระดับสูงกลับคืนสู่ตน
นอกจากนี้หลังจากที่ผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆมาพอสมควร ทำให้พบว่าการลงทุนในหุ้นขณะนี้มีความน่าสนใจมาก เนื่องจากราคาหุ้นที่ยังค่อนข้างต่ำ บวกกับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจจะทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวเร็วกว่าที่หลายฝ่ายมีการคาดการณ์ **ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนได้ออกมาเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับดัชนีตลาดหุ้นว่าหลักจากนี้จะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร จะสามารถที่จะดีดกลับมาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งความคิดเห็นเรื่องนี้นับว่ามีความน่าสนใจเป็นมากเช่นกัน เพราะมิเช่นนั้นคุณอาจกำลังเดินเกมพลาด ก็มีโอกาสเป็นไปได้
อรุณศักดิ์ จรูญวงศ์สีนิลมล ผู้อำนวยการสายงานจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอสซีบี ควอนท์ จำกัด เล่าให้ฟังว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยจะสามารถปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 1 หรือต้นไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยจะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นตามมา ซึ่งอาจจะเป็นการปรับตัวขึ้นหรือลดลงเพียงเล็กน้อยแต่อาจจะไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ ทั้งนี้การปรับตัวของตลาดหุ้นถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีกันการลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง
"สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงนั้น ได้มีปัจจัยมาจากการที่นักลงทุนชาวต่างชาติทั่วโลกได้มีการเทขายหน่วยลงทุน เพื่อถือเงินสดมากกว่าลงทุนในตลาดหุ้น เริ่มจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดปัญหาวิกฤตการเงินและได้ส่งผลกระทบลุกลามไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก อีกทั้งยังมีแรงเทขายหน่วยลงทุนอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงและเพื่อความปลอดภัยของการลงทุนจึงมีการเทขายหน่วยลงทุนเพื่อถือเงินสดเเทน แต่มองว่าในช่วงต้นไตรมาส 1/2552 แรงเทขายหน่วยลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจะลดน้อยลง และอาจจะเริ่มทยอยกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นบ้างแล้ว โดยผู้จัดการกองทุนส่วนมากจะมองว่าตลาดหุ้นจะไม่ปรับตัวลดลงไปมากเท่ากับปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน"
ขณะเดียวกัน ผู้จัดการกองทุนจะเริ่มมองการลงทุนในกองทุนหุ้นใหม่ หลังจากการที่ก่อนหน้านี้ได้ลดการสัดส่วนการลงทุนลงไป ถือเงินสดหรือหันไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้มากขึ้น โดยผู้จัดการกองทุนมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นหลังจากนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม จากการที่รัฐบาลของประเทศต่างๆทั่วโลกได้ออกมาตรการต่างๆมาเพื่อช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของตนให้ดีขึ้น โดยถือเป็นข่าวดีที่ช่วยให้ตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้น โดยจากเหตุการณ์ดังกล่าวจึงถือเป็นผลดีให้ตลาดหุ้นได้รับอานิสงส์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย และจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆทำให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จนทำให้อาจจะมีการขายตราสารหนี้เพื่อกลับมาลงทุนในกองทุนหุ้นอีกครั้ง
ขณะเดียวกันจากราคาน้ำมันที่เริ่มจะปรับตัวดีขึ้นมาหลังจากที่ปรับลดลงไปต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่ 30-40 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้การลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานในช่วงที่ผ่านมาไม่ดีมากนัก แต่หลังจากที่ราคาน้ำมันเริ่มคงที่ทำให้การลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงมีความน่าสนใจมากกว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นๆ โดยดูได้จากช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้การลงทุนในกลุ่มธนาคารยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี แต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มนี้เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มพลังงานจะพบว่าหุ้นกลุ่มธนาคารมีการปรับเพิ่มขึ้นเพียง 3-5% เท่านั้น
"ช่วงแรกของการลงทุนในตลาดหุ้นจะมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงค่อนข้างแรงมาก โดยรวมต้นปีนี้ตลาดจะเริ่มดูดีกว่าในช่วงปลายปีที่ปรับตัวลดลงมาก แต่อย่างไรก็ตามภาพรวมตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ จะยังคงเป็นบวกมากกว่าที่จะเป็นลบ และตลาดหุ้นจะดีกว่าในปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เนื่องจากหลังจากนี้นักลงทุนจะหันกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ อย่างไรก็ตามการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้ " นายอรุณศักดิ์กล่าว
ศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC บอกว่า บริษัทยังคงเป้าดัชนีสิ้นปีนี้อยู่ที่ 575 จุด ถึงแม้จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศแล้วก็ตาม เพราะต้องดูก่อนว่าตลาดจะตอบรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมากน้อยแค่ไหนโดยมองว่าหลังจากประกาศนโยบายแล้วประมาณ 2-3 เดือน ทุกอย่างก็น่าจะชัดเจนขึ้นว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยจะไปทางไหน
ทั้งนี้ ประเมินว่าการปรับตัวของดัชนีในช่วงแรกของปีนี้ อาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าวนโยบายของรัฐบาลก่อน หลังจากนั้น จะค่อยๆ ปรับตัวลดลง เพื่อรอดูความชัดเจนอีกครั้งว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเห็นผลมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะดูได้จากตัวเลขเศรษฐกิจว่าจะฟื้นหรือไม่ ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตลาดหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นรับข่าวดังกล่าว แต่หากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดี ตลาดหุ้นก็จะปรับตัวอยู่ในทิศทางขาลง
"ปัจจัยที่เป็นตัววัด อาจจะต้องพิจารณาจากนโยบายของภาครัฐที่ประกาศออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อว่าใน 3 เดือนแรกอาจจะยังเป็นช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของรัฐบาลอยู่ ซึ่งส่งผลให้ดัชนีน่าจะยังปรับตัวดีขึ้นได้ แต่หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายและการบริหารงานของรัฐบาลว่าจะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด และดัชนีตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลดลง ซึ่งหลังจากนั้นในช่วงครึ่งปีอาจจะต้องดูสัญญาณว่าดัชนีในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสฟื้นตัวหรือว่าปรับตัวลดลงต่อเนื่อง" นายศุภกรกล่าว
ดังนั้น การลงทุนควรเน้นลงทุนแบบปลอดภัยหรือลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้และตลาดหุ้นนั้นอาจจะลงทุนในสัดส่วนที่เท่ากัน คือ 50% ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี ซึ่งมองว่าสัดส่วนการลงทุนอาจจะต้องพิจารณาเป็นรายไตรมาส เนื่องจากตลาดมีความผันผวนและมีความไม่แน่นอนอยู่ โดยในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้นั้น นักลงทุนมีโอกาสที่จะเข้าลงทุนได้ แต่อาจจะเริ่มระมัดระวัง เพราะอัตราดอกเบี้ยที่มีโอกาสปรับตัวลดลง โดยอัตราดอกเบี้ยของไทยนั้นยังอยู่ในระดับที่ 2.75% ซึ่งถือว่าดีกว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่มีโอกาสจะปรับตัวอยู่ที่ 0% ดังนั้น อาจจะต้องดูช่วงระยะเวลาในการรลงทุนให้ดี ประกอบกับเศรษฐกิจโดยรวมที่อาจจะยังแย่อยู่ แม้ไทยจะมีรัฐบาลชุดใหม่
ขณะที่ ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือ เอวายเอฟ ให้ความคิดเห็นว่า ภาวะตลาดหุ้นในช่วงไตรมาสเเรกของปี 2552 นั้นในเดือนมกราคม น่าจะดีกว่าเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากไทยได้รัฐบาลใหม่ประกอบกับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่เหลือเพียงเเค่เสนอคณะรัฐมนตรีเเละประกาศใช้นโยบาย ซึ่งตลาดทุนน่าจะมีปฏิกริยารับข่าวดีดังกล่าวก่อน ขณะเดียวกันนากยกรัฐมนตรีของไทยประเทศไทยเเละประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะเข้ารับตำเเหน่งใหม่น่าจะทำให้เศรษฐกิจเปลี่ยนเเปลงไปในทางที่ดี ทั้งนี้นโยบายการคลัง เเละการเงิน จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ซึ่งหากไทยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรุนเเรงอีกครั้งในวันที่ 16 มกราคม 2551 นี้ก็น่าจะมีมาตรการทางการเงินที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เเต่ในทางกลับกันผู้ที่ดูเเลนโยบายทางเศรษฐกิจควรที่จะหามาตรการอื่นที่เข้ามาเสริมนอกจากนโยบายการเงินเเละการคลัง
"ตอนนี้มาตรการทางการเงินเริ่มจะมีให้เห็นบ้างเเล้ว โดยเฉพาะการที่รัฐชะลอการออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนระดมเงินในตลาดเงินได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการระดมเงินต่างชาติให้เข้ามาในประเทศที่ถือเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ และจะส่งผลให้ตลาดทุนมีการเปลี่ยนเเปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยเชื่อว่าประมาณเดือน มีนาคม 2551 นี้ตลาดเงินเเละตลาดทุนจะมีความเข้มข้นมากขึ้นจากนโยบายการเงินการคลังของรัฐบาล" ประภาส กล่าว