ผู้จัดการกองทุน มั่นใจเศรษฐกิจไทยปีหน้าฟื้นช่วงไตรมาส3 หลังสถานการณ์การเมืองเริ่มนิ่ง ระบุตลาดเอเชียยังน่าสนใจกว่าตลาดอื่น และเตรียมเน้นลงทุนในหุ้นพลังงานเพิ่มขึ้น เหตุมั่นใจนโยบายภาครัฐสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความมั่นใจจากนักลงทุนได้อย่างแน่นอน พร้อมแจงกองทุนหุ้นปี2551ปรับตัวลดลงจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกและการเมืองในประเทศ
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด-กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ไอเอ็นจี (ประเทศไทย)จำกัด เปิดเผยว่าสำหรับตลาดหุ้นในปี2551 พบว่าจากต้นปีถึงช่วงปลายปีนั้น ตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงมากกว่า 50% โดยนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนหุ้นต่างได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาจากปัจจัยต่างๆ ซึ่งทั้งปีพบว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบหลักจาก 2 ปัจจัยสำคัญด้วยกันคือปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ
โดยปัจจัยภายในประเทศจะเป็นเรื่องของการเมืองที่เข้ามามีผลกระทบให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ซึ่งขณะนี้การเมืองภายในประเทศเริ่มที่จะนิ่งลงจึงช่วยให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นมา ขณะเดียวกัน เมื่อมองถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงของการลงทุนลดน้อยลงไปด้วย ขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศเกิดจากการที่ทั่วโลกประสบกับปัญหาวิกฤตการเงินจนส่งผลกระทบกันทั่วโลก
สำหรับการลงทุนในปี 2552 บริษัทมองว่านักลงทุนควรที่จะทยอยเข้าซื้อหุ้นกลับเข้ามาใว้ในพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ซึ่งนักลงทุนควรที่จะต้องมีการเฉลี่ยการซื้อเป็นการเฉลี่ยซื้อทุกเดือนดีกว่าการเข้าไปซื้อเพียงครั้งเดียว ทั้งนี้บริษัทมองว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงมาเหมือนช่วงก่อนหน้านี้นั้นค่อนข้างน้อย อีกทั้งความเสี่ยงของการลงทุนก็น้อยตามการกระจายการลงทุนด้วยและเมื่อความเสี่ยงของการลงทุนมีน้อยจะส่งผลให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน ทำให้ขนาดของกองทุนเริ่มที่จะเพิ่มขึ้นมาจากช่วงก่อนหน้านี้
ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียค่อนข้างที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจากช่วงก่อนหน้านี้ ที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น เพราะช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นในเอเชียได้ปรับตัวลดลงมามาก แต่สำหรับตลาดหุ้นในประเทศค่อนข้างที่จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกน้อยมาก หลังจากนี้ บริษัทมองว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวตามตลาดเอเชีย ซึ่งหากตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นตลาดหุ้นไทยก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย แต่หากตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงตลาดหุ้นไทยก็จะปรับตัวลดลงตาม แต่ทั้งนี้อาจจะเป็นการปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อย
นายจุมพล กล่าวอีกว่าในส่วนของมาตรการที่รัฐบาลออกมาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศนั้น ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับนักลงทุน แต่ทั้งนี้การกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องทำ อีกทั้งนักลงทุนรู้กันอยู่แล้วว่ารัฐบาลจะต้องเข้าช่วยอย่างแน่นอน โดยรัฐบาลได้เร่งการออกโครงการต่างออกมาเพื่อให้มีเม็ดเงินไหลเวียนอยู่ในตลาดไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งการที่รัฐบาลเข้ามามีส่วนรวมจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพของการลงทุนให้มีมากขึ้น
"อย่างไรก็ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงของธนาคารแห่งประเทศไทย ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ทำให้ปีหน้านักลงทุนจะให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดทุนมากกว่าตลาดอื่นๆ ถึงแม้ว่าปีหน้าจะมีการให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าในปีก่อน แต่สำหรับ บลจ.จะยังไม่มีการออกกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้น เพราะกองทุนที่มีอยู่ของบริษัทได้ตอบโจทย์ใก้แก่นักลงทุนได้สมบูรณ์แล้ว อีกทั้งการบริหารกองทุนของได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนอยู่ทุกเดือนโดยเน้นการลงทุนเป็นระยะไป"
นาย อนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ (บลจ.)บีที จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มกองทุนรวมหุ้นในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา พบว่ามีการฟื้นตัวของดัชนี ส่งผลให้ผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้นมากด้วย และปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่าตลาดเอเชีย โดยมีปัจจัยจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง อีกทั้งการเมืองภายในประเทศเริ่มที่จะนิ่ง จึงทำคาดว่า ในไตรมาส 1/2552 ตลาดจะวิ่งขึ้นมาแรงอยู่ที่ระดับ 440-480 จุด จากการออกนโยบายมากระตุ้นเศรษฐกิจของไทยและสหรัฐอเมริกา อีกทั้งในช่วงต้นปี 2552 ที่จะถึงรัฐบาลไทยจะมีการประกาศใช้งบประมาณกลางของภาครัฐ โดยจะกระจายไปยังกองทุนต่างๆที่จะเข้ามาลงทุน แต่ตั้งนี้กว่าที่งบประมาณจะออกมาจะเป็นช่วงประมาณเดือนเมษายน 2552 และจากเหตุการณืดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดเริ่มกลับมาดีอีกครั้ง
ในส่วนของแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2552 บริษัทมองว่าธนาคารพาณิชย์จะไม่สามารถที่จะขยายสินเชื่อหรือ เอ็นพีแอล เพิ่มขึ้นได้ โดยคาดว่าการลงทุนในสินค้าอุปโภคบริโภคหรือคอมมอดีตีจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้สำหรับการลงทุนในกลุ่มของธนาคารอาจจะมีการลงทุนน้อยลง ขณะที่การลงทุนในน้ำมันหรือพลังงานราคาอาจจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 40-45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพราะช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงไปมากกว่าราคาต้นทุนการผลิตแล้ว ซึ่งนักวิเคราะห์ได้มีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวอยู่ที่ 45-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในไตรมาสแรกของปีหน้า หุ้นกลุ่มพลังงานจะปรับจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนในปีหน้า นักลงทุนควรที่จะปรับพอร์ตการลงทุนโดยลดหุ้นกลุ่มธนาคารลง จากนั้นเพิ่มการถือหุ้นในกลุ่มพลังงานแทน เพราะราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงมาเยอะมากแล้วโอกาสที่ราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจึงมีความเป็นไปได้มากกว่าปรับตัวลดลง ทั้งนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่า หลังจากที่นายโอบามา เข้ามาบริหารประเทศในช่วงเดือนมกราคม แล้วใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงทำให้ธนาคารในประเทศของสหรัฐเริ่มที่จะปล่อยสินเชื่อออกมาสู่ภาคการผลิต มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ปรับตัวดีขึ้น
"มองว่าจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย บริษัทคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นจะขานรับนโยบายดังกล่าว 10-20 จุด โดยจากมาตรการต่างๆที่รัฐบาลได้ประกาศออกมานั้นจะช่วยกระตุ้นเตลาดหุ้นกลับมาคึกคักมากกว่าเดิม อีกทั้งผู้บริหารต่างชาติได้รับความเชื่อมั่นจากทีมบริหารเศรษฐกิจของไทย อีกทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับนักลงทุนอีกด้วย" นายอนุสรณ์กล่าว
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด-กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ไอเอ็นจี (ประเทศไทย)จำกัด เปิดเผยว่าสำหรับตลาดหุ้นในปี2551 พบว่าจากต้นปีถึงช่วงปลายปีนั้น ตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงมากกว่า 50% โดยนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนหุ้นต่างได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาจากปัจจัยต่างๆ ซึ่งทั้งปีพบว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบหลักจาก 2 ปัจจัยสำคัญด้วยกันคือปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ
โดยปัจจัยภายในประเทศจะเป็นเรื่องของการเมืองที่เข้ามามีผลกระทบให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ซึ่งขณะนี้การเมืองภายในประเทศเริ่มที่จะนิ่งลงจึงช่วยให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นมา ขณะเดียวกัน เมื่อมองถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงของการลงทุนลดน้อยลงไปด้วย ขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศเกิดจากการที่ทั่วโลกประสบกับปัญหาวิกฤตการเงินจนส่งผลกระทบกันทั่วโลก
สำหรับการลงทุนในปี 2552 บริษัทมองว่านักลงทุนควรที่จะทยอยเข้าซื้อหุ้นกลับเข้ามาใว้ในพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ซึ่งนักลงทุนควรที่จะต้องมีการเฉลี่ยการซื้อเป็นการเฉลี่ยซื้อทุกเดือนดีกว่าการเข้าไปซื้อเพียงครั้งเดียว ทั้งนี้บริษัทมองว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงมาเหมือนช่วงก่อนหน้านี้นั้นค่อนข้างน้อย อีกทั้งความเสี่ยงของการลงทุนก็น้อยตามการกระจายการลงทุนด้วยและเมื่อความเสี่ยงของการลงทุนมีน้อยจะส่งผลให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน ทำให้ขนาดของกองทุนเริ่มที่จะเพิ่มขึ้นมาจากช่วงก่อนหน้านี้
ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียค่อนข้างที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจากช่วงก่อนหน้านี้ ที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น เพราะช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นในเอเชียได้ปรับตัวลดลงมามาก แต่สำหรับตลาดหุ้นในประเทศค่อนข้างที่จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกน้อยมาก หลังจากนี้ บริษัทมองว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวตามตลาดเอเชีย ซึ่งหากตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นตลาดหุ้นไทยก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย แต่หากตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงตลาดหุ้นไทยก็จะปรับตัวลดลงตาม แต่ทั้งนี้อาจจะเป็นการปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อย
นายจุมพล กล่าวอีกว่าในส่วนของมาตรการที่รัฐบาลออกมาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศนั้น ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับนักลงทุน แต่ทั้งนี้การกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องทำ อีกทั้งนักลงทุนรู้กันอยู่แล้วว่ารัฐบาลจะต้องเข้าช่วยอย่างแน่นอน โดยรัฐบาลได้เร่งการออกโครงการต่างออกมาเพื่อให้มีเม็ดเงินไหลเวียนอยู่ในตลาดไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งการที่รัฐบาลเข้ามามีส่วนรวมจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพของการลงทุนให้มีมากขึ้น
"อย่างไรก็ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงของธนาคารแห่งประเทศไทย ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ทำให้ปีหน้านักลงทุนจะให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดทุนมากกว่าตลาดอื่นๆ ถึงแม้ว่าปีหน้าจะมีการให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าในปีก่อน แต่สำหรับ บลจ.จะยังไม่มีการออกกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้น เพราะกองทุนที่มีอยู่ของบริษัทได้ตอบโจทย์ใก้แก่นักลงทุนได้สมบูรณ์แล้ว อีกทั้งการบริหารกองทุนของได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนอยู่ทุกเดือนโดยเน้นการลงทุนเป็นระยะไป"
นาย อนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ (บลจ.)บีที จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มกองทุนรวมหุ้นในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา พบว่ามีการฟื้นตัวของดัชนี ส่งผลให้ผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้นมากด้วย และปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่าตลาดเอเชีย โดยมีปัจจัยจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง อีกทั้งการเมืองภายในประเทศเริ่มที่จะนิ่ง จึงทำคาดว่า ในไตรมาส 1/2552 ตลาดจะวิ่งขึ้นมาแรงอยู่ที่ระดับ 440-480 จุด จากการออกนโยบายมากระตุ้นเศรษฐกิจของไทยและสหรัฐอเมริกา อีกทั้งในช่วงต้นปี 2552 ที่จะถึงรัฐบาลไทยจะมีการประกาศใช้งบประมาณกลางของภาครัฐ โดยจะกระจายไปยังกองทุนต่างๆที่จะเข้ามาลงทุน แต่ตั้งนี้กว่าที่งบประมาณจะออกมาจะเป็นช่วงประมาณเดือนเมษายน 2552 และจากเหตุการณืดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดเริ่มกลับมาดีอีกครั้ง
ในส่วนของแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2552 บริษัทมองว่าธนาคารพาณิชย์จะไม่สามารถที่จะขยายสินเชื่อหรือ เอ็นพีแอล เพิ่มขึ้นได้ โดยคาดว่าการลงทุนในสินค้าอุปโภคบริโภคหรือคอมมอดีตีจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้สำหรับการลงทุนในกลุ่มของธนาคารอาจจะมีการลงทุนน้อยลง ขณะที่การลงทุนในน้ำมันหรือพลังงานราคาอาจจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 40-45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพราะช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงไปมากกว่าราคาต้นทุนการผลิตแล้ว ซึ่งนักวิเคราะห์ได้มีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวอยู่ที่ 45-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในไตรมาสแรกของปีหน้า หุ้นกลุ่มพลังงานจะปรับจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนในปีหน้า นักลงทุนควรที่จะปรับพอร์ตการลงทุนโดยลดหุ้นกลุ่มธนาคารลง จากนั้นเพิ่มการถือหุ้นในกลุ่มพลังงานแทน เพราะราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงมาเยอะมากแล้วโอกาสที่ราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจึงมีความเป็นไปได้มากกว่าปรับตัวลดลง ทั้งนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่า หลังจากที่นายโอบามา เข้ามาบริหารประเทศในช่วงเดือนมกราคม แล้วใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงทำให้ธนาคารในประเทศของสหรัฐเริ่มที่จะปล่อยสินเชื่อออกมาสู่ภาคการผลิต มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ปรับตัวดีขึ้น
"มองว่าจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย บริษัทคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นจะขานรับนโยบายดังกล่าว 10-20 จุด โดยจากมาตรการต่างๆที่รัฐบาลได้ประกาศออกมานั้นจะช่วยกระตุ้นเตลาดหุ้นกลับมาคึกคักมากกว่าเดิม อีกทั้งผู้บริหารต่างชาติได้รับความเชื่อมั่นจากทีมบริหารเศรษฐกิจของไทย อีกทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับนักลงทุนอีกด้วย" นายอนุสรณ์กล่าว