ASTVผู้จัดการรายวัน - นายกสมาคมบลจ. มองดัชนีหุ้นไทย ยังผันผวน จับทิศทางไม่ถูก ระบุเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าเอเชีย-ไทย มีสิทธิกลับออกไปได้ตลอดเวลา เตือนอาจเจอแรงเทขายทำกำไร หาแหล่งลงทุนที่ถูกต่อไป ประเมินไตรมาส 3 เห็นความชัดเจน ทิศทางเศรษฐกิจจะไปทางไหน ด้านผู้จัดการกองทุน ปรับพอร์ตลุยหุ้นใหญ่ พลังงาน-แบงก์ รับอานิสงส์ฝรั่งซื้อ พร้อมจับตาพอร์ตการลงทุนอย่างใกล้ชิด
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนผ่านระดับ 600 จุดไปแล้ว แต่เชื่อว่ายังคงมีความผันผวนอยู่ ซึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นคึกคักดังกล่าว เป็นผลมาจากกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติที่ยังไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้ ต้องการหาแหล่งลงทุน หลังจากเก็บเงินเอาไว้ในกองทุนตลาดเงิน (มันนี่มาร์เกต) รวมถึงเก็บเงินสดเอาไว้
ทั้งนี้ การปรับขึ้นดังกล่าว ถือว่าเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างสูงแล้ว อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ต้องบอกว่าตลาดหุ้นไทยยังปรับขึ้นน้อยกว่า โดยตั้งแต่ต้นปีถึงขณะนี้ ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นประมาณ 20% กว่าๆ เท่านั้น ในขณะที่หุ้นประเทศอื่น เช่น ใต้หวัน ปรับขึ้นไปแล้วกว่า 40% ซึ่งนักลงทุนต่างชาติเอง จะหาแหล่งลงทุนที่ยังราคาถูกอยู่ ในขณะที่หุ้นบางประเทศมีการปรับขึ้นไปมากแล้ว ดังนั้น เหล่านี้ จึงมีโอกาสกลับไปกลับมา ประกอบกับการที่ P/E ตลาดแพงขึ้น ก็มีโอกาสที่นักลงทุนเหล่านี้ จะเทขายออกมาเพื่อทำกำไรบ้าง และไปลงทุนในหุ้นที่ยังมีราคาถูกต่อ
"ขณะนี้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้เป็นจำนวนมาก เห็นได้จากปีที่แล้วที่เงินลงทุนส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ในมันนี่มาร์เกต โดยเฉพาะในสหรัฐ ที่มีมูลค่ารวมกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเงินดังกล่าว เริ่มกลับออกมาลงทุนอีกครั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม เงินเหล่านี้ ก็มีโอกาสไหลกลับไปอยู่ในมันนี่มาร์เกตอีกครั้งเช่นกัน"นางวรวรรณกล่าว
ส่วนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น จนมีการประเมินว่าเศรษฐกิจโลกถึงจุดต่ำสุดแล้วนั้น นางวรวรรณกล่าวว่า มุมมองของเราประเมินว่า ในช่วงไตรมาส 3 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะเห็นความชัดเจนว่าจะไปในทิศทางใด บริษัทจดทะเบียนจะอยู่หรือจะรอด ซึ่งภาพรวมในบ้านเราเองขณะนี้ ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยยังทรงๆ ทำให้กองทุนตราสารหนี้ยังไปได้อยู่ และหากยังไม่มีอะไรผิดปกติ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเองก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะลดลงอีก ประกอบกับเงินเฟ้อเองก็ยังติดลบด้วย ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล คาดว่าจะเริ่มเห็นผลได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนตราสารหนี้ต่างประเทศเอง ก็ยังไปได้ตราบใดที่ยังมีส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้ในประเทศ
นางสาวสหัทยา สรรค์ประสิทธิ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ. วรรณ กล่าวว่า การที่ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเยอะมากอย่างนี้ ทำให้ความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับตัวลดลงมีความเป็นไปได้สูง แต่ทั้งนี้จะต้องดูถึงเม็ดเงินที่เข้ามาซื้อของต่างชาติให้แน่ชัดก่อนว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร เพราะในช่วงนี้ มีการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ เยอะมาก ดังนั้น หากนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการขายออกเพื่อทำกำไร อาจจะทำให้ดัชนีตลาดในประเทศปรับตัวลดลงไปอีกครั้งหนึ่ง แต่คงไม่เยอะมาก
"ในระยะสั้นนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ อาจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ขณะเดียวกัน โอกาสที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวลดลงเพื่อรอปรับฐาน หรือการเทขายออกเพื่อทำกำไรจากการที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นก็มีความเป็นไปได้สูง แต่การปรับตัวลดลงคงปรับ เพียงเล็กน้อย เนื่องจากว่าในเดือนมิถุนายนนี้ นักลงทุนในกลุ่มสถาบันจะมีการปิดราคาประจำรอบครึ่งปี ทำให้การซื้อขายของนักลงทุนกลุ่มนี้มีน้อยลงเช่นกัน จึงไม่ส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นมากนัก"นางสาวสหัทยากล่าว
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. บีที กล่าวว่า ภายหลังจากที่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นตั้งแต่หลังช่วงเดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งการที่หุ้นมีการปรับตัวสูงขึ้นดังกล่าว ทำให้เรามีการขายหุ้นกลุ่มบางตัวออกไปเพื่อเป็นการทำกำไรบ้าง ขณะเดียวกัน ก็รอจังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลงเพื่อเข้าไปช้อนซื้อทำกำไรต่อไป
ส่วนการบริหารกองทุนหุ้นนั้น กลุ่มที่บริษัทเน้นให้การลงทุนขณะนี้ ให้น้ำหนักหุ้นในกลุ่ม SET50 โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร เป็นหลัก เนื่องจากว่ามองว่า กลุ่มดังกล่าว ยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ซึ่งยังคงมีความแข็งแกร่งต่อการลงทุนอยู่ ส่วนกลุ่มส่งออกนั้น ในขณะนี้ยังไม่ได้เข้าไปลงทุน เพราะกลุ่มดังกล่าวยังมีผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบจากทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย
"หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณอย่างหนึ่งว่า กลุ่มพลังงานจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี น่าเข้าไปลงทุน ดังนั้น บริษัทจึงเลือกเข้าไปลงทุนในกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มแบงก์และกลุ่มเซท 50 ที่บริษัทยังเลือกเข้าไปลงทุนอีกด้วย" นายอนุสรณ์ กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า จากปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาทางการเมืองในประเทศด้วยแล้ว ทำให้บริษัทต้องมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้กองทุนหุ้นที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทนั้นให้ผลตอบแทนที่ดี ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาผู้จัดการกองทุนต่างให้ความใกล้ชิดกับกองทุนเป็นอย่างมากโดยการเข้ามาดูแลพอร์ตและปรับพอร์ตกันทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อให้กองทุนหุ้นที่บริหารอยู่นั้นให้ได้ผลตอบแทนที่เหนือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ด้วย
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนผ่านระดับ 600 จุดไปแล้ว แต่เชื่อว่ายังคงมีความผันผวนอยู่ ซึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นคึกคักดังกล่าว เป็นผลมาจากกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติที่ยังไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้ ต้องการหาแหล่งลงทุน หลังจากเก็บเงินเอาไว้ในกองทุนตลาดเงิน (มันนี่มาร์เกต) รวมถึงเก็บเงินสดเอาไว้
ทั้งนี้ การปรับขึ้นดังกล่าว ถือว่าเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างสูงแล้ว อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ต้องบอกว่าตลาดหุ้นไทยยังปรับขึ้นน้อยกว่า โดยตั้งแต่ต้นปีถึงขณะนี้ ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นประมาณ 20% กว่าๆ เท่านั้น ในขณะที่หุ้นประเทศอื่น เช่น ใต้หวัน ปรับขึ้นไปแล้วกว่า 40% ซึ่งนักลงทุนต่างชาติเอง จะหาแหล่งลงทุนที่ยังราคาถูกอยู่ ในขณะที่หุ้นบางประเทศมีการปรับขึ้นไปมากแล้ว ดังนั้น เหล่านี้ จึงมีโอกาสกลับไปกลับมา ประกอบกับการที่ P/E ตลาดแพงขึ้น ก็มีโอกาสที่นักลงทุนเหล่านี้ จะเทขายออกมาเพื่อทำกำไรบ้าง และไปลงทุนในหุ้นที่ยังมีราคาถูกต่อ
"ขณะนี้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้เป็นจำนวนมาก เห็นได้จากปีที่แล้วที่เงินลงทุนส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ในมันนี่มาร์เกต โดยเฉพาะในสหรัฐ ที่มีมูลค่ารวมกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเงินดังกล่าว เริ่มกลับออกมาลงทุนอีกครั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม เงินเหล่านี้ ก็มีโอกาสไหลกลับไปอยู่ในมันนี่มาร์เกตอีกครั้งเช่นกัน"นางวรวรรณกล่าว
ส่วนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น จนมีการประเมินว่าเศรษฐกิจโลกถึงจุดต่ำสุดแล้วนั้น นางวรวรรณกล่าวว่า มุมมองของเราประเมินว่า ในช่วงไตรมาส 3 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะเห็นความชัดเจนว่าจะไปในทิศทางใด บริษัทจดทะเบียนจะอยู่หรือจะรอด ซึ่งภาพรวมในบ้านเราเองขณะนี้ ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยยังทรงๆ ทำให้กองทุนตราสารหนี้ยังไปได้อยู่ และหากยังไม่มีอะไรผิดปกติ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเองก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะลดลงอีก ประกอบกับเงินเฟ้อเองก็ยังติดลบด้วย ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล คาดว่าจะเริ่มเห็นผลได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนตราสารหนี้ต่างประเทศเอง ก็ยังไปได้ตราบใดที่ยังมีส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้ในประเทศ
นางสาวสหัทยา สรรค์ประสิทธิ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ. วรรณ กล่าวว่า การที่ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเยอะมากอย่างนี้ ทำให้ความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับตัวลดลงมีความเป็นไปได้สูง แต่ทั้งนี้จะต้องดูถึงเม็ดเงินที่เข้ามาซื้อของต่างชาติให้แน่ชัดก่อนว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร เพราะในช่วงนี้ มีการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ เยอะมาก ดังนั้น หากนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการขายออกเพื่อทำกำไร อาจจะทำให้ดัชนีตลาดในประเทศปรับตัวลดลงไปอีกครั้งหนึ่ง แต่คงไม่เยอะมาก
"ในระยะสั้นนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ อาจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ขณะเดียวกัน โอกาสที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวลดลงเพื่อรอปรับฐาน หรือการเทขายออกเพื่อทำกำไรจากการที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นก็มีความเป็นไปได้สูง แต่การปรับตัวลดลงคงปรับ เพียงเล็กน้อย เนื่องจากว่าในเดือนมิถุนายนนี้ นักลงทุนในกลุ่มสถาบันจะมีการปิดราคาประจำรอบครึ่งปี ทำให้การซื้อขายของนักลงทุนกลุ่มนี้มีน้อยลงเช่นกัน จึงไม่ส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นมากนัก"นางสาวสหัทยากล่าว
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. บีที กล่าวว่า ภายหลังจากที่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นตั้งแต่หลังช่วงเดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งการที่หุ้นมีการปรับตัวสูงขึ้นดังกล่าว ทำให้เรามีการขายหุ้นกลุ่มบางตัวออกไปเพื่อเป็นการทำกำไรบ้าง ขณะเดียวกัน ก็รอจังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลงเพื่อเข้าไปช้อนซื้อทำกำไรต่อไป
ส่วนการบริหารกองทุนหุ้นนั้น กลุ่มที่บริษัทเน้นให้การลงทุนขณะนี้ ให้น้ำหนักหุ้นในกลุ่ม SET50 โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร เป็นหลัก เนื่องจากว่ามองว่า กลุ่มดังกล่าว ยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ซึ่งยังคงมีความแข็งแกร่งต่อการลงทุนอยู่ ส่วนกลุ่มส่งออกนั้น ในขณะนี้ยังไม่ได้เข้าไปลงทุน เพราะกลุ่มดังกล่าวยังมีผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบจากทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย
"หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณอย่างหนึ่งว่า กลุ่มพลังงานจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี น่าเข้าไปลงทุน ดังนั้น บริษัทจึงเลือกเข้าไปลงทุนในกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มแบงก์และกลุ่มเซท 50 ที่บริษัทยังเลือกเข้าไปลงทุนอีกด้วย" นายอนุสรณ์ กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า จากปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาทางการเมืองในประเทศด้วยแล้ว ทำให้บริษัทต้องมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้กองทุนหุ้นที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทนั้นให้ผลตอบแทนที่ดี ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาผู้จัดการกองทุนต่างให้ความใกล้ชิดกับกองทุนเป็นอย่างมากโดยการเข้ามาดูแลพอร์ตและปรับพอร์ตกันทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อให้กองทุนหุ้นที่บริหารอยู่นั้นให้ได้ผลตอบแทนที่เหนือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ด้วย