xs
xsm
sm
md
lg

กองทุนหุ้นระยะยาวแรงกระตุ้นปลายปียังมี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตอนนี้ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ต้องเผชิญปัจจัยท้าทายต่างๆ มากมายทั้งผลกระทบจากวิกฤตการเงินที่ลุกลามไปทั่วโลก รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง จนส่งผลทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนประเภทดังกล่าวในเดือนกันยายน 2551 หดตัวลงเหลือ 44,106.5 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการลดลงกว่า 4.17% จากเดือนสิงหาคม 2551 ที่กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 46,024.9 ล้านบาท แต่จำนวนกองทุน LTF ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากเงื่อนไขของภาครัฐที่ระบุว่าการจะได้รับสิทธิลดหย่อนทางภาษีนั้นจะต้องเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2550 ดังนั้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2550 เป็นต้นมา จึงไม่มีการจัดตั้งกองทุน LTF กองใหม่ขึ้นแต่อย่างใด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกบทวิเคราะห์ถึงกองทุนรวมหุ้นระยะยาวซึ่งระบุว่า ปัจจุบันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ในเดือนกันยายน 2551 อยู่ที่ 44,106.5 ล้านบาท ลดลงจาก 46,024.9 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม หรือคิดเป็นอัตราการหดตัว 4.17% ตามการปรับลดดัชนีหุ้นไทย อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า NAV ของกองทุนรวม LTF ปรับลดในอัตราที่น้อยกว่าดัชนี SET ในช่วงเวลาเดียวกันที่ลดลงไปถึง 12.84% อย่างไรก็ตามดัชนียังคงแกว่งตัวอยู่ในขาลงและล่าสุด ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2551 ความวิตกกังวลต่อวิกฤตการเงินที่อาจนำมาสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงทะลุระดับ 400 จุด และร่วงลงมากกว่า 10% จนตลาดหลักทรัพย์ต้องประกาศพักการซื้อขายชั่วคราว (เซอร์กิต เบรกเกอร์) ซึ่งเป็นการใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 เดือน หลังจากการประกาศใช้ในวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้การปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย เป็นผลมาจากปัจจัยการเมืองในประเทศยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย รวมถึงความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วทุกภูมิภาคด้วยความกังวลต่อปัญหาการขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงินทั่วโลก ในขณะที่นักลงทุนยังกังวลเรื่องแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ดัชนีแกว่งตัวลงตามตลาดหุ้นภูมิภาค จนกระทั่งส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความอ่อนไหวค่อนข้างสูง โดยอัตราการดิ่งตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยถึง 12.84% ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุน LTF ลดลงตามไปด้วย แต่การที่อัตราการปรับลดลงของ NAV ยังน้อยกว่าอัตราการปรับลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET) ในภาพกว้างแล้วอาจสะท้อนว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้านราคาว่าได้รับแรงชดเชยจากปัจจัยด้านปริมาณหรือการเข้าซื้อหน่วยลงทุน LTF ของนักลงทุน จึงส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงของ NAV ไม่ได้ลดลงไปต่ำกว่าการเปลี่ยนแปลงของ SET

ขณะเดียวกันปัจจุบันนักลงทุนได้ชะลอการเข้าลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว เนื่องจากมองว่าปัญหาวิกฤตการเงินโลกยังไม่ถึงจุดที่แย่ที่สุด และเชื่อว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยังมีโอกาสปรับตัวลดลงไปอีก เนื่องจากข่าวร้ายจากปัญหาวิกฤตการเงินยังคงทยอยออกมาเป็นระยะๆ และยังลุกลามไปประเทศต่างๆทั่วโลก ทั้งนี้แม้ว่าทางการและธนาคารกลางทั่วโลกจะออกมาตรการเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าวแล้ว แต่การฟื้นตัวของภาคการเงินคงต้องใช้ระยะเวลานานเกือบปีเป็นอย่างน้อย กว่าที่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ ดังนั้นท่ามกลางภาวะตลาดเงินและตลาดทุนโลกที่ยังมีแนวโน้มผันผวน นักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทนสูงอาจมองว่ายังไม่ถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่จะเข้าลงทุน จึงเลือกที่จะรอให้ดัชนี SET ขยับเข้าหาจุดต่ำสุด ก่อนที่จะเข้าซื้อหน่วยลงทุน LTF ในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งก็น่าจะยังคงสามารถทำได้

สำหรับแนวโน้มของกองทุนรวมหุ้นระยะยาวนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าน่าจะเติบโตได้โดยเฉพาะในช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากปัจจัยหนุนต่างๆ โดย ประการแรก ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศและวิกฤตการเงินทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ ปัจจุบัน (27 ต.ค. 2551) ปรับลดลงไปเกือบ 43% จากปลายเดือนสิงหาคม และ 55% จากช่วงสิ้นปี 2250 ดังนั้นเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ทำให้คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงคลัง (เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 51) ในการขยายวงเงินหักค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวจากปัจจุบันกฎหมายกำหนดให้หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 500,000 บาท/ปี เพิ่มเป็นหักเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 700,000 บาท/ปี จึงคาดว่าคงจะช่วยให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวมากขึ้น เพราะนอกจากจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้นแล้วยังเป็นจังหวะที่กองทุนสามารถซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีแต่ราคาถูกลง และเป็นการลงทุนระยะยาวที่มีโอกาสทำกำไรได้ในอนาคต

ประการที่สอง เนื่องจากผู้ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LTF แล้ว จะต้องถือไว้ให้ครบ 5 ปีปฏิทินผู้ลงทุนจึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ดังนั้นใน**ช่วงปลายปีจึงเป็นช่วงฤดูกาลที่ผู้ลงทุนจะเข้ามาซื้อกองทุนรวม LTF มากที่สุด**เพราะการซื้อในช่วงปลายปีจะทำให้ระยะเวลาที่ถือครองสั้นกว่า 5 ปี ขณะที่เงื่อนไขการถือครอง 5 ปีของทางการนั้นนับตามปีปฏิทินน่าจะหนุนให้ NAV ของกองทุนดังกล่าวขยับขึ้นมาได้ในช่วงที่เหลือของปี

ประการที่สาม แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะประสบความผันผวนตามตลาดหุ้นภูมิภาคจากปัญหาวิกฤตการเงินทั่วโลก อย่างไรก็ตามศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในระยะยาว (5 ปี) ตลาดหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัวได้ เนื่องจากประเทศไทยไม่ใช่จุดเริ่มของปัญหาวิกฤตการเงินดังกล่าวและปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังคงแข็งแกร่งอยู่ โดยมี P/E ratio อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับในช่วง 5 ปีที่ลงทุนในกองทุนรวม LTF นั้น ปัญหาวิกฤตการเงินทั่วโลกน่าจะผ่านพ้นและตลาดหุ้นก็คงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว จนกระทั่งสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับการลงทุนในกองทุนรวม LTF ได้อีกครั้ง

“อย่างไรก็ตามประเด็นที่ยังคงต้องติดตามคือความเสี่ยงทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองที่อาจกดดันให้ดัชนี SET ปรับลดลงไปมากจนกระทั่งส่งผลให้อัตราการขยายตัว NAV ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการลงทุนในกองทุนรวม LTF อาจไม่สามารถชดเชยราคาหุ้นที่ปรับลดลงไปอย่างมากได้ นอกจากนี้แรงกระตุ้นจากการขยายวงเงินที่สามารถหักภาษีได้จาก 500,000 บาท/ปี เป็น 700,000 บาท/ปีนั้น อาจถูกจำกัดจากประเด็นที่ว่าการหักลดหย่อนภาษียังคงทำได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดต่อผู้ที่สนใจจะซื้อกองทุนรวม LTF เพิ่มบางกลุ่ม และท่ามกลางทิศทางตลาดหุ้นที่ยังคงไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ อาจส่งผลให้ผู้ที่สนใจซื้อกองทุนรวม LTF อาจรอไปจนกระทั่งใกล้สิ้นปีจึงจะตัดสินใจ โดยอาจต้องการรอดูสถานการณ์ตลาดหุ้นประกอบการตัดสินใจก่อน”

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น