TFUND เตรียมเพิ่มทุน ซื้อสินทรัพย์ขยายมูลค่าโครงการเพิ่ม "บลจ.บัวหลวง"ตั้งเป้ารักษาระดับผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่ดีสม่ำเสมอ ชี้เป็นอีกช่องทางลงทุนที่ปลอดภัย ด้านวงการคาด “ไทคอนฯ”เตรียมรับกำไร778 ล้านบาท จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ผู้จัดการกองทุนประเมิน ราคาเอ็นเอวี พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ ยังซึมต่อ จนกว่าสถาบันจะกลับมาซื้อ แนะนักลงทุนทำใจ เหตุทั้งกลุ่มมีสภาพคล่องสูงแค่ 3 กอง
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) ว่า ในเร็วๆนี้กองทุนดังกล่าวจะมีการเพิ่มทุน เพื่อซื้อสินทรัพย์เข้าไว้ในกองทุนเพิ่มเติม เนื่องจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของไทยยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะเป็นเช่นไร อีกทั้งทางบริษัทต้องการที่จะบริหารจัดการและดูแลในเรื่องของอัตราผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่ดีสมำเสมอตลอดไป
ขณะเดียวกัน นายสอาด ธีรโรจนวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ให้ความเห็นว่า การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ นับเป็นอีกทางหนึ่งในขณะนี้ เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยจากสถานการณ์ต่างๆ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากรายได้ค่าเช่าโรงงาน และพื้นที่โรงงงานในอนาคต
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) (BLS) ให้คำแนะนำการลงทุนในหุ้นของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) (TICON) ว่า ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนนี้ บริษัทมีโอกาสที่จะได้รับกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) ประมาณ 778 ล้านบาท ตามแผนที่ธุรกิจที่วางไว้
โดยเมื่อเร็วๆนี้ผู้บริหารของบริษัทยืนยันว่าจะมีการขายโรงงาน 100,343 ตร.ม.และคลังสินค้า 36,625 ตร.ม. มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาทตามแผนธุรกิจเดิม และจะขายในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน พ.ย. นี้
ผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวว่า ช่วงนี้ นักลงทุนไม่ควรมีอคติกับอัตราส่วนของมูลค่าสินทรัพย์กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่มีปริมาณการซื้อขายเบาบางมาก โดยสิ่งที่จะช่วยหนุนให้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวอีกครั้งคือการกลับมาของนักลงทุนสถาบัน ดังนั้นจนกว่านักลงทุนสถาบันจะกลับมามีสถานะซื้อสุทธิอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของราคาหน่วยลงทุนกองทุนประเภทนี้จะยังคงอยู่ในระดับนี้ต่อไป
“เราไม่คิดว่านักลงทุนรายย่อยในประเทศจะให้ความสนใจกับตลาดในตอนนี้ รวมถึงกองทุนในประเทศที่มักรอซื้อตอนตลาดอ่อนตัวตัวเอง ก็หาโอกาสเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูงกว่า แม้กองทุนีรวมอสังหาริมทรัพย์จะมีอัตราเงินปันผลตอบแทนและส่วนลดมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่น่าประทับใจแต่ มีกองทุนเพียง 3 กองที่มีสภาพคล่องเพียงพอ ได้แก่ TFUND,SPF และ CPNRF”ผู้จัดการกองทุนให้ความเห็น
อนึ่งเมื่อเร็วๆนี้ TFUND จะทำการกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 14 จากผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2551 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.20 บาท โดยบริษัทจัดการกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 27 ตุลาคม 2551 และกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน เพื่อกำหนดสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 16 ตุลาคมนี้
สำหรับ ภาพรวมของ TICON บล.บัวหลวง ระบุว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าถูกมาก โดยปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ปัจจุบันซื้อขายอยู่ในระดับต่ำกว่า NAV 48% และให้ผลตอบแทนเงินปันผลในระดับสูงที่ 10.6% ขณะที่แนวโน้มกำไรของบริษัทอยู่ในระดับดี โดยมีปัจจัยหนุนจากความต้องการที่แข็งแกร่งสำหรับโรงงานและคลังสินค้า อย่างไรก็ตาม ได้ปรับลดราคาเป้าหมายปี 2552 ลงมาอยู่ที่ 17.4 บาท หรือลดลง 20% จาก NAV จากความกังวลว่ามูลค่าอสังหาฯอาจปรับลดลง
ขณะเดียวกัน ประเมินว่าพอร์ตสินทรัพย์ของบริษัท ณ สิ้นเดือน ก.ย. ช่วยยืนยันมุมมองที่ว่าความต้องการโรงงานและคลังสินค้ายังคงแข็งแกร่งแม้จะมีความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศและเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก โดยในช่วงไตรมาส 3/51 บริษัทได้ปล่อยเช่าโรงงาน 9 โรงและขายออกไป 1 โรง ส่งผลให้พอร์ตพื้นที่เช่าสุทธิเพิ่มขึ้น 23,865 ตร.ม. เมื่อรวมกับพื้นที่เช่าคลังสินค้าที่ปล่อยเช่าใหม่อีก 34,721 ตร.ม. พอร์ตพื้นที่เช่ารวม ณ สิ้นเดือน ก.ย. ขยายตัวขึ้น 58,586 ตร.ม. มาอยู่ที่ 478,501 ตร.ม. เพิ่มขึ้น 18% YoY และ 14% QoQ ซึ่งเติบโตสูงสุดตั้งแต่ปี 2549
“เราเชื่อว่า TICON เป็นหนึ่งในบริษัทไม่กี่แห่งที่สามารถรับมือกับวิกฤติการเงินทั่วโลกได้ ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ผู้ผลิตมักจะปรับลดแผนการลงทุน ดังนั้น ผู้ผลิตมีแนวโน้มจะเช่ามากกว่าสร้างโรงงานหรือคลังสินค้าเอง นอกจากนี้ อาจเป็นโอกาสของ TICON ในการขยายพอร์ตด้วยการเข้าซื้อสินทรัพย์ราคาถูกจากผู้ประกอบการที่ต้องการขายสินทรัพย์เพื่อแปลงเป็นเงินสดและกลับมาเช่าแทน”
รายงานข่าวแจ้งว่าหลังตลาดหลักทรัพย์ปิดการซื้อขายวานนี้ (8ต.ค.) ราคาหน่วยลงทุน TFUND ปิดที่10.80 บาท เท่ากับราคาปิดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าการซื้อขายระหว่างวัน 13.292 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้น TICON ปิดที่ 11.30 บาท เท่ากับราคาปิดเมื่อวันอังคาร และมีมูลค่าซื้อขายระหว่างวัน 2.279 ล้านบาท
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) ว่า ในเร็วๆนี้กองทุนดังกล่าวจะมีการเพิ่มทุน เพื่อซื้อสินทรัพย์เข้าไว้ในกองทุนเพิ่มเติม เนื่องจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของไทยยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะเป็นเช่นไร อีกทั้งทางบริษัทต้องการที่จะบริหารจัดการและดูแลในเรื่องของอัตราผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่ดีสมำเสมอตลอดไป
ขณะเดียวกัน นายสอาด ธีรโรจนวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ให้ความเห็นว่า การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ นับเป็นอีกทางหนึ่งในขณะนี้ เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยจากสถานการณ์ต่างๆ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากรายได้ค่าเช่าโรงงาน และพื้นที่โรงงงานในอนาคต
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) (BLS) ให้คำแนะนำการลงทุนในหุ้นของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) (TICON) ว่า ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนนี้ บริษัทมีโอกาสที่จะได้รับกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) ประมาณ 778 ล้านบาท ตามแผนที่ธุรกิจที่วางไว้
โดยเมื่อเร็วๆนี้ผู้บริหารของบริษัทยืนยันว่าจะมีการขายโรงงาน 100,343 ตร.ม.และคลังสินค้า 36,625 ตร.ม. มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาทตามแผนธุรกิจเดิม และจะขายในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน พ.ย. นี้
ผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวว่า ช่วงนี้ นักลงทุนไม่ควรมีอคติกับอัตราส่วนของมูลค่าสินทรัพย์กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่มีปริมาณการซื้อขายเบาบางมาก โดยสิ่งที่จะช่วยหนุนให้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวอีกครั้งคือการกลับมาของนักลงทุนสถาบัน ดังนั้นจนกว่านักลงทุนสถาบันจะกลับมามีสถานะซื้อสุทธิอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของราคาหน่วยลงทุนกองทุนประเภทนี้จะยังคงอยู่ในระดับนี้ต่อไป
“เราไม่คิดว่านักลงทุนรายย่อยในประเทศจะให้ความสนใจกับตลาดในตอนนี้ รวมถึงกองทุนในประเทศที่มักรอซื้อตอนตลาดอ่อนตัวตัวเอง ก็หาโอกาสเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูงกว่า แม้กองทุนีรวมอสังหาริมทรัพย์จะมีอัตราเงินปันผลตอบแทนและส่วนลดมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่น่าประทับใจแต่ มีกองทุนเพียง 3 กองที่มีสภาพคล่องเพียงพอ ได้แก่ TFUND,SPF และ CPNRF”ผู้จัดการกองทุนให้ความเห็น
อนึ่งเมื่อเร็วๆนี้ TFUND จะทำการกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 14 จากผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2551 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.20 บาท โดยบริษัทจัดการกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 27 ตุลาคม 2551 และกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน เพื่อกำหนดสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 16 ตุลาคมนี้
สำหรับ ภาพรวมของ TICON บล.บัวหลวง ระบุว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าถูกมาก โดยปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ปัจจุบันซื้อขายอยู่ในระดับต่ำกว่า NAV 48% และให้ผลตอบแทนเงินปันผลในระดับสูงที่ 10.6% ขณะที่แนวโน้มกำไรของบริษัทอยู่ในระดับดี โดยมีปัจจัยหนุนจากความต้องการที่แข็งแกร่งสำหรับโรงงานและคลังสินค้า อย่างไรก็ตาม ได้ปรับลดราคาเป้าหมายปี 2552 ลงมาอยู่ที่ 17.4 บาท หรือลดลง 20% จาก NAV จากความกังวลว่ามูลค่าอสังหาฯอาจปรับลดลง
ขณะเดียวกัน ประเมินว่าพอร์ตสินทรัพย์ของบริษัท ณ สิ้นเดือน ก.ย. ช่วยยืนยันมุมมองที่ว่าความต้องการโรงงานและคลังสินค้ายังคงแข็งแกร่งแม้จะมีความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศและเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก โดยในช่วงไตรมาส 3/51 บริษัทได้ปล่อยเช่าโรงงาน 9 โรงและขายออกไป 1 โรง ส่งผลให้พอร์ตพื้นที่เช่าสุทธิเพิ่มขึ้น 23,865 ตร.ม. เมื่อรวมกับพื้นที่เช่าคลังสินค้าที่ปล่อยเช่าใหม่อีก 34,721 ตร.ม. พอร์ตพื้นที่เช่ารวม ณ สิ้นเดือน ก.ย. ขยายตัวขึ้น 58,586 ตร.ม. มาอยู่ที่ 478,501 ตร.ม. เพิ่มขึ้น 18% YoY และ 14% QoQ ซึ่งเติบโตสูงสุดตั้งแต่ปี 2549
“เราเชื่อว่า TICON เป็นหนึ่งในบริษัทไม่กี่แห่งที่สามารถรับมือกับวิกฤติการเงินทั่วโลกได้ ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ผู้ผลิตมักจะปรับลดแผนการลงทุน ดังนั้น ผู้ผลิตมีแนวโน้มจะเช่ามากกว่าสร้างโรงงานหรือคลังสินค้าเอง นอกจากนี้ อาจเป็นโอกาสของ TICON ในการขยายพอร์ตด้วยการเข้าซื้อสินทรัพย์ราคาถูกจากผู้ประกอบการที่ต้องการขายสินทรัพย์เพื่อแปลงเป็นเงินสดและกลับมาเช่าแทน”
รายงานข่าวแจ้งว่าหลังตลาดหลักทรัพย์ปิดการซื้อขายวานนี้ (8ต.ค.) ราคาหน่วยลงทุน TFUND ปิดที่10.80 บาท เท่ากับราคาปิดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าการซื้อขายระหว่างวัน 13.292 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้น TICON ปิดที่ 11.30 บาท เท่ากับราคาปิดเมื่อวันอังคาร และมีมูลค่าซื้อขายระหว่างวัน 2.279 ล้านบาท