โบรกเกอร์ประเมินราคาขายหน่วยเพิ่มทุน TFUND ต่ำกว่าคาดจากสถานการณ์ตลาดที่ปรับตัวลดลง พร้อมเชื่อการนำเงินซื้อสินทรัพย์เข้าเพิ่มเติมครั้งนี้ ช่วยขยายอัตราผลตอบแทนให้โตเพิ่มเป็น 8.8% แนะนำ “ซื้อ”
บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด ได้ระบุถึงการเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ได้ข้อสรุปว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) ซึ่งจะเสนอขายที่ 10.25บาท/หน่วย โดยจำนวนหน่วยลงทุนที่เสนอขายทั้งสิ้น 237 ล้านหน่วย ปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2551
ทั้งนี้ บล.บัวหลวงให้ความเห็นว่า มูลค่าหน่วยลงทุนที่เสนอขายตามที่ประกาศ มีมูลค่าน้อยกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงแรกถึง 14.8% โดยบริษัทประเมินไว้ที่ประมาณ 2,852 ล้านบาท ในขณะที่เสนอขายจริงประมาณ 2,430 ล้านบาท ทำให้ประเมินว่าสาเหตุที่ราคาเสนอขายค่อนข้างต่ำเนื่องจากสถานการณ์ตลาดที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และภาพของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มถดถอยในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นไปตามสมมติฐานเดิมคือ รายได้ต่อตารางเมตรต่อเดือนอยู่ที่ 172 บาท อัตราการเช่าอยู่ที่ 95% และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 20% ของรายได้ การซื้อโรงงานและคลังสินค้าในงวดนี้จะให้อัตราผลตอบแทนราว 8.8% ซึ่งสูงกว่าอัตราผลตอบแทน ณ ราคาปัจจุบันของ TFUND ที่ราว 8.0% และจะส่งผลให้เมื่อกองทุนซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว กำไร/หน่วยในปี 2552 จะเพิ่มขึ้นจาก 0.83 บาท/หน่วย เป็น 0.85 บาท/หน่วย
ดังนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากยังคงประมาณการเงินปันผลในปี 2552 ที่ 0.83 บาท/หน่วย จนกว่าการเสนอขายหน่วยลงทุนจะสิ้นสุดและมีการโอนสินทรัพย์เกิดขึ้น และยังคงราคาเป้าหมายเดิมที่ให้ไว้ที่ 11.10 บาท/หน่วย
โดยเมื่อสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวงในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวม TFUND ได้ทำการเพิ่มทุนของกองทุน จำนวนไม่เกิน 3,000 ล้านบาท จากเงินทุนของกองทุนรวมเดิมจำนวน 5,770.25 ล้านบาท เป็นเงินทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 270 ล้านหน่วยซึ่งบริษัทได้เห็นสมควรกำหนดให้มีการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมจำนวน 237 ล้านหน่วย ในราคาเสนอขายหน่วยละ 10.25 บาท และจัดสรรหน่วยลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 59.60 ของจำนวนหน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ หรือคิดเป็นจำนวน 141.25 ล้านหน่วย เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิม (Rights Offering)
ทั้งนี้ บริษัทจัดการได้กำหนดอัตราส่วนในการเสนอขายหน่วยลงทุนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมในอัตราส่วนเท่ากับ 1 หน่วยลงทุนเดิม ต่อ 0.25 หน่วยลงทุนใหม่ ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมอาจแสดงความจำนงที่จะซื้อหน่วยลงทุนทีเสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ตามสิทธิที่ได้รับจัดสรร หรือสละสิทธิไม่จองซื้อหน่วยลงทุนที่เสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ก็ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการเพิ่มทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินระดมทุนไปลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ประกอบไปด้วย กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอาคารโรงงานจำนวน 40 โรง ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสหกรรมอมตะซิตี้ จำนวน 4 โรง, นิคมอุตสหกรรมอมตะนคร จำนวน 7 โรง, นิคมอุตสาหกรรมบางปะอน จำนวน 1 โรง, นิคมอุตสหกรมบ้านหว้า (ไฮเทค) จำนวน 14 โรง,เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร จำนวน 6 โรง, นิคาอุตสาหกรรมปิ่นทอง จำนวน 2 โรง และสวนอุตสหกรรมโรจนะ จำนวน 6 โรง
นอกจากนี้กองทุนรวมจะลงทุนในที่ดินและส่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวซึ่งได้ปลูกสร้างแล้วเสร็จและปัจจุบันใช้ประโยชน์เป็นอาคารคลังสินค้า จำนวน 10 โรงซึ่งตั้งอยู่ที่โครงการ ไทคอนโลจีสติคส์พาร์คบางนา ของบริษัทไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด โดยการรับโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินดังกล่าวจากบริษัท ไทคอนอินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด ในราคารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 2,950 ล้านบาท
บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด ได้ระบุถึงการเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ได้ข้อสรุปว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) ซึ่งจะเสนอขายที่ 10.25บาท/หน่วย โดยจำนวนหน่วยลงทุนที่เสนอขายทั้งสิ้น 237 ล้านหน่วย ปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2551
ทั้งนี้ บล.บัวหลวงให้ความเห็นว่า มูลค่าหน่วยลงทุนที่เสนอขายตามที่ประกาศ มีมูลค่าน้อยกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงแรกถึง 14.8% โดยบริษัทประเมินไว้ที่ประมาณ 2,852 ล้านบาท ในขณะที่เสนอขายจริงประมาณ 2,430 ล้านบาท ทำให้ประเมินว่าสาเหตุที่ราคาเสนอขายค่อนข้างต่ำเนื่องจากสถานการณ์ตลาดที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และภาพของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มถดถอยในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นไปตามสมมติฐานเดิมคือ รายได้ต่อตารางเมตรต่อเดือนอยู่ที่ 172 บาท อัตราการเช่าอยู่ที่ 95% และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 20% ของรายได้ การซื้อโรงงานและคลังสินค้าในงวดนี้จะให้อัตราผลตอบแทนราว 8.8% ซึ่งสูงกว่าอัตราผลตอบแทน ณ ราคาปัจจุบันของ TFUND ที่ราว 8.0% และจะส่งผลให้เมื่อกองทุนซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว กำไร/หน่วยในปี 2552 จะเพิ่มขึ้นจาก 0.83 บาท/หน่วย เป็น 0.85 บาท/หน่วย
ดังนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากยังคงประมาณการเงินปันผลในปี 2552 ที่ 0.83 บาท/หน่วย จนกว่าการเสนอขายหน่วยลงทุนจะสิ้นสุดและมีการโอนสินทรัพย์เกิดขึ้น และยังคงราคาเป้าหมายเดิมที่ให้ไว้ที่ 11.10 บาท/หน่วย
โดยเมื่อสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวงในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวม TFUND ได้ทำการเพิ่มทุนของกองทุน จำนวนไม่เกิน 3,000 ล้านบาท จากเงินทุนของกองทุนรวมเดิมจำนวน 5,770.25 ล้านบาท เป็นเงินทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 270 ล้านหน่วยซึ่งบริษัทได้เห็นสมควรกำหนดให้มีการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมจำนวน 237 ล้านหน่วย ในราคาเสนอขายหน่วยละ 10.25 บาท และจัดสรรหน่วยลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 59.60 ของจำนวนหน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ หรือคิดเป็นจำนวน 141.25 ล้านหน่วย เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิม (Rights Offering)
ทั้งนี้ บริษัทจัดการได้กำหนดอัตราส่วนในการเสนอขายหน่วยลงทุนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมในอัตราส่วนเท่ากับ 1 หน่วยลงทุนเดิม ต่อ 0.25 หน่วยลงทุนใหม่ ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมอาจแสดงความจำนงที่จะซื้อหน่วยลงทุนทีเสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ตามสิทธิที่ได้รับจัดสรร หรือสละสิทธิไม่จองซื้อหน่วยลงทุนที่เสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ก็ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการเพิ่มทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินระดมทุนไปลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ประกอบไปด้วย กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอาคารโรงงานจำนวน 40 โรง ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสหกรรมอมตะซิตี้ จำนวน 4 โรง, นิคมอุตสหกรรมอมตะนคร จำนวน 7 โรง, นิคมอุตสาหกรรมบางปะอน จำนวน 1 โรง, นิคมอุตสหกรมบ้านหว้า (ไฮเทค) จำนวน 14 โรง,เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร จำนวน 6 โรง, นิคาอุตสาหกรรมปิ่นทอง จำนวน 2 โรง และสวนอุตสหกรรมโรจนะ จำนวน 6 โรง
นอกจากนี้กองทุนรวมจะลงทุนในที่ดินและส่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวซึ่งได้ปลูกสร้างแล้วเสร็จและปัจจุบันใช้ประโยชน์เป็นอาคารคลังสินค้า จำนวน 10 โรงซึ่งตั้งอยู่ที่โครงการ ไทคอนโลจีสติคส์พาร์คบางนา ของบริษัทไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด โดยการรับโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินดังกล่าวจากบริษัท ไทคอนอินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด ในราคารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 2,950 ล้านบาท