xs
xsm
sm
md
lg

นักลงทุนชะลอเทรดหุ้นไทย รอผลแก้วิกฤตการเงินหลังต่างชาติขนเงินหนี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน – นักลงทุนชะลอซื้อขายหุ้น เพื่อรอดูทิศทางการแก้ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ กดดันตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในความเงียบเหงา ขณะที่นักลงทุนต่างชาติทิ้งต่ออีกกว่า 500 ล้านบาท ฉุดดัชนีร่วง 6.24 จุด ด้าน บล.บัวหลวง ระบุเม็ดเงินต่างชาติจากตะวันออกกลาง-เอเชีย ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยแทนยุโรป-สหรัฐฯ ที่ขนเงินออกไปเสริมสภาพคล่อง ขณะที่เฮดจ์ฟันด์ต้องประสบปัญหาขาดทุนถึงขั้นปิดกิจการไปหลายแห่ง ส่วนโบรกเกอร์ ยังไม่สามารถประเมินว่าปัญหาจะจบลงเมื่อใด แนะนักลงทุนเลือกลงทุนระยะยาวในหุ้นพื้นฐานดี
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (23 ก.ย.) นักลงทุนต่างสงวนท่าที่รอดูทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากที่ทางการสหรัฐฯ ออกมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ กดดันให้ตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยคึกคักมากนัก ขณะที่ดัชนียังคงปรับตัวลดลงจากวันก่อนอย่างต่อเนื่อง แม้จะปรับขึ้นได้เล็กน้อยในช่วงเปิดตลาดภาคเช้า
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 611.94 จุด และต่ำสุดที่ 606.32 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 608.25 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้า 6.24 จุด หรือคิดเป็น 1.02% มูลค่าการซื้อขายรวม 9,177.52 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 502.43 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 86.75 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 589.18 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนได้เทขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปรับตัวลดลง คือ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ราคาปิดที่ 61.50 บาท ลดลงจากวันก่อน 2.00 บาท หรือคิดเป็น 3.15% ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ปิดที่ 100.00 บาท ลดลง 3.00 บาท หรือ 2.91% ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ปิดที่ 67.50 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 1.46% และธนาคารกรุงไทย (KTB) ปิดที่ 6.30 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือ 3.08%
นายวิวัฒน์ วิชิตบุญญเศรษฐ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารกองทุนส่วนบุคคล  บริษัทหลักทรัพย์ (บล) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS เปิดเผยว่า หลังจากเกิดวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ทำให้พฤติกรรมของนักลงทุนต่างประเทศทั้งกองทุนระยะยาว กองทุนเพื่อความมั่งคั่งที่จัดตั้งโดยรัฐบาล (เซอร์เวอร์เรนท์) มีระยะเวลาการลงทุนที่สั่นลง เพื่อระมัดระวังและลดความเสี่ยงมากขึ้น รวมทั้งจะย้ายพอร์ตการลงทุนหากประเทศนั้นๆ ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำ
ขณะที่ กองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) ที่ผ่านมา ได้ประกาศปิดการไปแล้วหลายแห่ง จากภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลง ทำให้มีผลขาดทุน  โดยเฮดจ์ฟันด์ที่มีผลขาดทุนสูงจะเป็นกลุ่มที่มีการกู้เงินมาลงทุน ซึ่งกู้ได้สูงถึง 32 เท่าของทุน แต่เมื่อประสบปัญหาจำเป็นที่ต้องคืนเงินทุน โดยปัจจุบันนี้การกู้เพื่อการลงทุนส่วนใหญ่จะให้กู้ได้ประมาณ 25-26 เท่าของทุน
ขณะเดียวกันเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น จะเปลี่ยนกลุ่มการเข้ามาลงทุนโดยจะเป็นเม็ดเงินจากนักลงทุนแถบตะวันออกกลาง และภูมิภาคเอเชีย แทนเงินทุนจากแถบอเมริกา ยุโรป ที่มีการขายหุ้นไทยออกไปเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินจากที่ประเทศดังกล่าวประสบปัญหาทางการเงิน ซึ่งไม่ได้เป็นการขายเพื่อทำกำไร
อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินที่เข้ามานั้นมีมูลค่าต่ำกว่าเม็ดเงินที่มีการขายหุ้นไทยออกไป  แต่เม็ดเงินลงทุนของยุโรป อเมริกาก็ไม่ได้ทิ้งตลาดหุ้นไทย แต่หากเห็นโอกาสและมีความน่าสนใจเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุน แต่ในระยะสั้นจะยังไม่มีเม็ดเงินต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย  
“พฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ทั้งที่เป็นกองทุนเซอร์เวอร์เรนท์ กองทุนระยะยยาว จะมีระยะเวลาการลงทุนที่สั่นลง และจะมีการตรวจสอบผลการลงทุนทุกๆ 3 เดือน ซึ่งหากไม่ดีก็จะมีการถอนเงินออก แต่หากยังให้ผลตอบแทนดีอยู่ ก็จะยังคงลงทุนต่อไป เม็ดต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในไทยนั้นจะเปลี่ยนกลุ่มเป็นแถบตะวันออกกลาง และประเทศภูมิภาคนี้ แทนเม็ดเงินจากยุโรป อเมริกา ”นายวิวัฒน์
นายวิวัฒน์  กล่าวถึง กรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการช่วยเหลือสถาบันการเงินที่เกิดวิกฤต ว่า การจัดตั้งกองทุนมูลค่า 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นเม็ดเงินที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะสามารถครอบคลุมปัญหาได้ แต่ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อสหรัฐฯ เกิดปัญหานั้น จะใช้เวลา 1 ปี ตลาดจึงจะถึงจุดต่ำสุด ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจจะต้องใช้เวลามากถึง 2 ปี จึงจะต่ำสุด ซึ่งการที่สหรัฐฯ เพิ่งออกมาตรการแก้ปัญหาดังกล่าวจะต้องใช้เวลานานเหมือนกับในอดีตหรือไม่คงต้องประเมินสถานการณ์กันต่อไป
ทั้งนี้ ภาพรวมการลงทุนในขณะนี้การลงทุนที่น่าสนใจ คือการลงทุนในทองคำ ถึงแม้จะมีความผันผวนสูงแต่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว  ส่วนการลงทุนในน้ำมันนั้นราคาอาจจะมีการปรับตัวลดลงมาอีกได้ สินค้าเกษตรก็น่าสนใจ  ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นหากเป็นการลงทุนระยะยาวน่าสนใจลงทุนได้ โดยนักลงทุนมีควรที่จะมีการกังวลในเรื่องปัจจัยระยะสั้น  โดยเชื่อว่าหากมีการลงทุนและถือเป็นเวลา 1 ปี ผลตอบแทนน่าจะได้ประมาณ 10%

***รอกรอบแก้วิกฤตสถาบันการเงิน
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า  ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้สถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่มีปัญหาต้องขายหุ้นในภูมิภาคและทั่วโลกออกมา โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มธนาคาร และสื่อสาร ที่ราคาร่วงติดต่ำกันเป็นวันที่สอง
“หุ้นไทยปรับตัวลดลง 1% จากแรงกดดันการระบายหุ้นของนักลงทุนสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ระบายหุ้นที่มีอยู่ในพอร์ตทั่วเอเชีย และตลาดหุ้นทั่วโลกต่อเนื่องติดต่อเป็นวันที่ 2   ซึ่งแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศนั้นยังคงมีอยู่ต่อเนื่องจากปัญหาที่ยังไม่จบ และไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะจบได้เมื่อไร ”นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยก็ยังคงปรับตัวลดลงต่อ จากแรงกดดันปัญหาสถาบันการเงินอเมริกา ซึ่งปัจจัยในประเทศนั้น แม้จะมีคณะรัฐมนตรีใหม่ก็ไม่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย เพราะปัจจัยหลักนั้นเป็นปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งบริษัทประเมินแนวต้านที่ระดับ 614 จุด ซึ่งสามารถสูงกว่าได้ ดัชนีก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ที่ระดับ 630 จุด แต่ไม่สามารถอยู่ที่ระดับ614 จุด ดัชนีก็จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 590 จุด ในช่วง 1-2 วัน  
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาสถาบันการเงินที่ยังไม่จบส่งผลให้มีแรงขายหุ้นทั่วโลกเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน โดยมีการขายหุ้นกลุ่มธนาคารออกมาจำนวนมาก เพื่อนำเงินไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมันจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ ยังมีแรงขายหุ้นกลุ่มสื่อสารทั่วเอเชีย จากก่อนหน้านี้ 2-3 สัปดาห์หุ้นสื่อสารปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากเป็นหุ้นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสถาบันการเงิน และปัญหาการเมืองในประเทศ  ทำให้นักลงทุนมีแรงขายทำกำไรระยะสั้น ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าการลงทุนของนักลงทุนจะลงทุนในระยะสั้นไม่ถือลงทุนนานจากที่มีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น
สำหรับในเรื่องปัจจัยทางการเมืองเรื่องการตั้งครม.นั้น ไม่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย เพราะโฉมหน้ารัฐมนตรีต่างๆ ไม่แตกต่างไปจากโผรายชื่อที่มีอยู่ ทั้งรัฐมนตรีคลัง และรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ  ซึ่งยังคงเป็นบุคคลเดิมๆ
“ในช่วงระยะสั้นการลงทุนยังมีความเสี่ยงมาก นักลงทุนควรถือเงินสดไว้สูงๆ หากเป็นนักลงทุนที่ลงทุนได้นานมากกว่า 6 เดือน จะได้รับผลตอบแทนที่สูงคุ้มค่าความเสี่ยง จากที่มีได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงกว่าพันธบัตร โดยขณะนี้มีหุ้นจำนวนมากที่ให้ตอบแทนสูง นักลงทุนควรทยอยซื้อลงทุนครั้งละ 20 %”
นางสาวจิตติมา ยังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ ( 23 ก.ย.) ค่อนข้างซบเซาตามทิศทางตลาดในต่างประเทศ จากปัญหาทางการเงินของสถาบันการเงินทั่วโลก ซึ่งนักลงทุนยังรอดูนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนักลงทุนต่างประเทศได้เทขายหุ้นในกลุ่มธนาคารและกลุ่มสื่อสาร
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าตลาดหุ้นยังคงเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกับปัญหาของสถาบันการเงินทั่วโลก โดยให้แนวรับที่ 597-603 จุด และแนวต้านที่ 607-610 จุด และให้จับตานโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาทางการเงิน รวมถึงคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล นายสมชาย วงสวัสดิ์ จึงแนะนักลงทุนควรชะลอการลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น