ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทย เดินหน้าบวกต่ออีก 8 จุด มูลค่าการซื้อขายกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท เหตุนักลงทุนคาดหวังธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยอีก 0.50% ช่วยสนับสนุนปัจจัยการเมืองในประเทศ ขณะที่ตั้งแต่ต้น ธ.ค. 51 นักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นไทยเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาท ด้านโบรกเกอร์ สั่งจับตาทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่ส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย พร้อมเตือนแรงเทขายทำกำไรระยะที่แนวต้านสำคัญ 450 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (16 ธ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นยังคงเดินหน้าบวกต่อเนื่องจากวันก่อน ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยด้านการเมืองที่เริ่มมีความชัดเจน รวมทั้งปัจจัยต่างประเทศ คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50%
โดยดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า มีระดับต่ำสุดที่ 434.43 จุด ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 450 จุด แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านดังกล่าวได้ เพียงแตะรับสูงสุดที่ 494.79 จุด และปิดการซื้อขายที่ 445.31 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 8.25 จุด หรือคิดเป็น 1.89% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 21,582.23 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงเทขายหุ้นไทย โดยมียอดขายสุทธิ 508.57 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 756.84 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 248.28 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2551 มียอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 10,261.05 ล้านบาท
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังปรับเพิ่มขึ้นรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากพรรคประชาธิปัตย์ และหลายฝ่ายยังคงรอดูโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ รวมทั้งนักลงทุนคาดว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว แม้จะยังคงมีการต่อต้านจากกล่มกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) แต่คงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
ด้านปัจจัยในต่างประเทศยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อีกทั้งตลาดคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างแน่นอน เพื่อกระตุ้นภาคการลงทุนของสหรัฐฯและช่วยลดต้นทุนของอุตสาหกรรมต่างๆ ให้สามารถประคองตัวในภาวะที่เกิดขึ้นได้
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ ยังคงปรับตัวในแดนบวก โดยนักลงทุนต้องติดตามทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นจนส่งภาคอุตสาหกรรมมีการปิดตัวลง และตัวเลขการว่างงานสูงขึ้น
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคทีบี จำกัด (มหาชน) หรือ KTBS กล่าวว่า จากการที่ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารสหรัฐอเมริกา (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ดัชนีปรับเพิ่ม ขณะเดียวกันได้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาช่วงดัชนีใกล้แตะระดับ 450 จุด ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไม่สามารถทะลุระดับดังกล่าวไปได้
ขณะที่ปัญหาการเมืองภายในประเทศดูเหมือนจะเริ่มคลี่คลาย หลังผลโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีปรากฏว่า นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย แม้ว่าจะมีเสียงต่อต้านจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) แต่ตลาดเชื่อว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่ายังอยู่เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงของการปรับฐานรับข่าวเรื่องนายกรัฐมนตรีใหม่ โดยนักลงทุนควรจับตาผลการประชุมของเฟดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเท่าใด และโผคณะรัฐมนตรีชุมใหม่ (ครม.) ของนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 รวมถึงทิศทางรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะนำเงินส่วนใดมาช่วยกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ภายหลังแผนกอบกู้กลุ่มธุรกิจนี้ไม่ผ่านสภาสูง
“หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ จะเป็นแรงหนุนให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้ แต่นักลงทุนต้องระวังแรงเทขายทำกำไรเมื่อดัชนีใกล้ระดับ 450 จุด โดยหุ้นที่น่าลงทุนยังคงเป็นกลุ่มธนาคาร และกลุ่มพลังงาน เนื่องจากมีมูลค่าคลาดรวมที่ใหญ่และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และประเมินแนวรับไว้ที่ 431 จุด แนวต้าน 450 จุด” นางสาวสุภากรกล่าว
นางสาวปองรัตน์ ตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือBLS กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวในแดนบวก สวนทางกับตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลง เนื่องจาการที่ตลาดคาดไว้แล้วว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารต่างๆ ทั่วโลก ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตามเช่นเดียวกัน
“การเมืองในประเทศดูเหมือนจะคลี่คลายไปได้ในระดับหนึ่ง หลังจากนายอภิสิทธิ ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ปัญหายังไม่จบ เพราะยังมีการต่อต้านจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.)”
สำหรับแนวโน้มตลาดหลักทรัพย์วันนี้ มีโอกาสปรับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนยังรอดูผลการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ว่าจะมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ รวมทั้งติดตามแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ดังนั้นควรรอเทขายทำกำไรหากดัชนีปรับขึ้นมาใกล้เคียงกับแนวต้านที่ 450 จุด และให้แนวรับที่ 440 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (16 ธ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นยังคงเดินหน้าบวกต่อเนื่องจากวันก่อน ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยด้านการเมืองที่เริ่มมีความชัดเจน รวมทั้งปัจจัยต่างประเทศ คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50%
โดยดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า มีระดับต่ำสุดที่ 434.43 จุด ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 450 จุด แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านดังกล่าวได้ เพียงแตะรับสูงสุดที่ 494.79 จุด และปิดการซื้อขายที่ 445.31 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 8.25 จุด หรือคิดเป็น 1.89% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 21,582.23 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงเทขายหุ้นไทย โดยมียอดขายสุทธิ 508.57 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 756.84 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 248.28 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2551 มียอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 10,261.05 ล้านบาท
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังปรับเพิ่มขึ้นรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากพรรคประชาธิปัตย์ และหลายฝ่ายยังคงรอดูโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ รวมทั้งนักลงทุนคาดว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว แม้จะยังคงมีการต่อต้านจากกล่มกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) แต่คงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
ด้านปัจจัยในต่างประเทศยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อีกทั้งตลาดคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างแน่นอน เพื่อกระตุ้นภาคการลงทุนของสหรัฐฯและช่วยลดต้นทุนของอุตสาหกรรมต่างๆ ให้สามารถประคองตัวในภาวะที่เกิดขึ้นได้
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ ยังคงปรับตัวในแดนบวก โดยนักลงทุนต้องติดตามทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นจนส่งภาคอุตสาหกรรมมีการปิดตัวลง และตัวเลขการว่างงานสูงขึ้น
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคทีบี จำกัด (มหาชน) หรือ KTBS กล่าวว่า จากการที่ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารสหรัฐอเมริกา (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ดัชนีปรับเพิ่ม ขณะเดียวกันได้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาช่วงดัชนีใกล้แตะระดับ 450 จุด ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไม่สามารถทะลุระดับดังกล่าวไปได้
ขณะที่ปัญหาการเมืองภายในประเทศดูเหมือนจะเริ่มคลี่คลาย หลังผลโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีปรากฏว่า นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย แม้ว่าจะมีเสียงต่อต้านจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) แต่ตลาดเชื่อว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่ายังอยู่เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงของการปรับฐานรับข่าวเรื่องนายกรัฐมนตรีใหม่ โดยนักลงทุนควรจับตาผลการประชุมของเฟดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเท่าใด และโผคณะรัฐมนตรีชุมใหม่ (ครม.) ของนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 รวมถึงทิศทางรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะนำเงินส่วนใดมาช่วยกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ภายหลังแผนกอบกู้กลุ่มธุรกิจนี้ไม่ผ่านสภาสูง
“หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ จะเป็นแรงหนุนให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้ แต่นักลงทุนต้องระวังแรงเทขายทำกำไรเมื่อดัชนีใกล้ระดับ 450 จุด โดยหุ้นที่น่าลงทุนยังคงเป็นกลุ่มธนาคาร และกลุ่มพลังงาน เนื่องจากมีมูลค่าคลาดรวมที่ใหญ่และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และประเมินแนวรับไว้ที่ 431 จุด แนวต้าน 450 จุด” นางสาวสุภากรกล่าว
นางสาวปองรัตน์ ตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือBLS กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวในแดนบวก สวนทางกับตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลง เนื่องจาการที่ตลาดคาดไว้แล้วว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารต่างๆ ทั่วโลก ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตามเช่นเดียวกัน
“การเมืองในประเทศดูเหมือนจะคลี่คลายไปได้ในระดับหนึ่ง หลังจากนายอภิสิทธิ ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ปัญหายังไม่จบ เพราะยังมีการต่อต้านจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.)”
สำหรับแนวโน้มตลาดหลักทรัพย์วันนี้ มีโอกาสปรับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนยังรอดูผลการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ว่าจะมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ รวมทั้งติดตามแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ดังนั้นควรรอเทขายทำกำไรหากดัชนีปรับขึ้นมาใกล้เคียงกับแนวต้านที่ 450 จุด และให้แนวรับที่ 440 จุด