xs
xsm
sm
md
lg

9เดือนแรกกองทุนไม่กระเตื้อง ลุ้นLTF-RMFชุบชีวิตช่วงโค้งสุดท้าย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อย่างที่ "ผู้จัดการกองทุนรวม" ได้รายงานภาพรวมของธุรกิจกองทุนรวมในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาไปบ้างแล้ว ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ เป็นปัจจัยสำคัญที่เดียว ที่ดึงเงินลงทุนกองทุนรวมไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งจนถึงปัจจุบันที่ยังเห็นกันอยู่ ขณะเดียวกัน ปัจจัยการเมืองในประเทศก้ส่งผลต่อความมั่นใจในการลงทุนด้วย แต่ยังไม่จบแค่นั้น ล่าสุด วิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐ ก็เข้ามาซ้ำเติมบรรยากาศการลงทุนให้แย่เข้าไปอีก

ภาพที่เกิดขึ้นทั้งหมด แน่นอนว่าส่งผลต่อการลงทุนในกองทุนรวมเข้าอย่างจัง...ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนนั้น วันนี้ มีข้อมูลที่น่าสนใจจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ซึ่งเป็นการสรุปผลงานของกองทุนในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา...ไปดูกันว่ามีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง
วรวรรณ ธาราภูมิ
วรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) รายงานว่า ภาพรวมธุรกิจกองทุนรวม 9 เดือนแรก เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2550 ธุรกิจกองทุนรวมในปีนี้ไม่ได้เติบโตจากปีที่ผ่านมามากนัก โดยมีเหตุมาจากวิกฤติการเงินของสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนทั่วโลก ซึ่งจากสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าว สมาคมบลจ. ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการดำเนินการให้ข้อมูลกองทุนรวมที่ลงทุนทั้งในและต่างประเทศแก่นักลงทุน เพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ครบถ้วน เพียงพอ และทันต่อเหตุการณ์

ภาพรวมธุรกิจกองทุน
ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ลุกลามไปยังทวีปยุโรป ได้ส่งผลให้สถาบันการเงินหลายแห่งประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง และส่งผลกระทบไปถึงตลาดเงินตลาดทุนของประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ด้วย ซึ่งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบนี้เช่นกัน จึงส่งผลให้ธุรกิจกองทุนมีการปรับตัวลดลง โดยพิจารณาได้จากทรัพย์สินสุทธิของธุกิจกองทุนปี 2551 ดังนี้

- กองทุนรวมหุ้น มีส่วนแบ่งทางการตลาดคิดเป็น 18.24 % ของกองทุนรวมทั้งระบบ ซึ่งเป็นกองทุนในประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในด้านการลดลงของมูลค่าทรัพย์สินที่กองทุนรวมได้ลงทุนไว้จากการที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปรับตัวลดลง 27.51% นับตั้งแต่ต้นปี 2551 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2551 อย่างไรก็ตามมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมหุ้นทั้งระบบลดลงเพียง 0.13% อย่างไรก็ตาม บลจ. ต่างๆ ยังสามารถบริหารกองทุนรวมหุ้นได้ดีกว่า Benchmark คือ SET Total Return Index ดังจะเห็นได้ว่า ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมติดลบเพียง 26.72% ในขณะที่ SET Total Return Index ติดลบ 27.51%
- กองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นกองทุนที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดคิดเป็น 61.72% ของกองทุนรวมทั้งระบบ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมเพิ่มขึ้น 6.10 % ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 เทียบกับสิ้นปี 2550 แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะหดตัวลงเนื่องจากการนำเสนออัตราดอกเบี้ยและผลิตภัณฑ์ทางการออมใหม่ๆ ของธนาคารพาณิชย์ แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง การเร่งระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ได้เริ่มลดลงเนื่องจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคธุรกิจมีแนวโน้มจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ จึงทำให้ผู้ลงทุนหันมาเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนการลงทุนโดยเฉลี่ยสูงกว่าเงินฝากประจำ ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมเพิ่มขึ้น 6.10 %

- กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) เป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดประเภทหนึ่งตั้งแต่ปี 2550 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากการผ่อนคลายวงเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย และกฎเกณฑ์ที่รองรับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยกองทุน FIF ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือกองทุนรวมตราสารหนี้ ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นสัดส่วนสูงถึง 89.01% ของกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 เป็นช่วงที่กองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตราสารทางการเงินของประเทศยุโรป (Euro Commercial Papers – ECP) เริ่มทยอยครบกำหนด ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมดังกล่าวลดลง แต่นับตั้งแต่ไตรมาสที่สองเป็นต้นมาได้มีการนำเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศมาทดแทน ส่วนที่เหลือเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น กระจายไปตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก และกองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์

ผลการดำเนินงานแยกตามประเภทกองทุน
ผลตอบแทนของกองทุนรวมแยกตามประเภทกองทุนทั่วไป ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 มีดังนี้
กองทุนรวมหุ้น (Equity Fund) นับตั้งแต่ต้นปี 2551 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2551 SET Total Return Index มีอัตราผลตอบแทน -27.51% ส่วนกองทุนหุ้น 106 กองทุน (ไม่รวมกองทุน LTF และ RMF ที่ลงทุนในหุ้น) สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนโดยเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมได้เท่ากับ -26.72% ดีกว่า SET Total Return Index โดยมีกองทุนหุ้นอันดับที่หนึ่ง สอง และสาม ได้ -16.68, -16.80 และ -17.29 % ตามลำดับ

กองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป (Fixed Income Funds) นับตั้งแต่ต้นปี 2551 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2551 กองทุนตราสารหนี้ทั่วไป 138 กองทุน (ไม่รวมกองทุน RMF ที่ลงทุนในตราสารหนี้) สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนโดยเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมได้เท่ากับ 1.94% อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม ได้ 5.55, 4.53 และ 3.65 % ต่อปี ตามลำดับ

กองทุนรวมผสม (Balanced Funds) นับตั้งแต่ต้นปี 2551 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2551 กองทุนรวมผสม จำนวนทั้งสิ้น 56 กองทุน (ไม่รวมกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนผสม) สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนโดยเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมได้เท่ากับ -16.87% และกองทุนอันดับหนึ่ง สอง และสาม สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบ 9 เดือนปี 2551 ได้คิดเป็น 6.24, 4.04 และ 3.40 % ตามลำดับ

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุน มีจำนวนทั้งสิ้น 20 กองทุน อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบ 9 เดือนปี 2551 ได้คิดเป็น -17.65, -18.09 และ -20.09% ตามลำดับ โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย -26.34% สูงกว่า Benchmark ที่เป็น SET Total Return Index ซึ่งมีอัตราผลตอบแทน -27.51%

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ กองทุนรวมฯจำนวนทั้งสิ้น 30 กองทุน อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบ 9 เดือนปี 2551 ได้คิดเป็น 4.41, 4.35 และ 4.08 % ตามลำดับ

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)ที่มีนโยบายการลงทุนแบบผสม มีจำนวนทั้งสิ้น 16 กองทุน อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบ 9 เดือนปี 2551 ได้คิดเป็น 1.68, 0.68 และ -6.40 % ตามลำดับ

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่มีนโยบายการลงทุนอื่นๆ กองทุนอาร์เอ็มเอฟมีจำนวนทั้งสิ้น 7 กองทุน อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบ 9 เดือนปี 2551 ได้คิดเป็น 2.41, 2.02 และ -0.09 % ตามลำดับ

กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวม (LTF) จำนวน 52 กองทุน สามารถสร้างผลตอบแทน ในรอบ 9 เดือนปี 2551โดยเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมได้เท่ากับ -24.34% ดีกว่า Benchmark หรือ SET Total Return Index ซึ่งเท่ากับ -27.51% โดยกองทุนอันดับที่หนึ่ง สอง และสาม มีผลตอบแทนเท่ากับ 2.22, -10.33 และ -12.69 % ตามลำดับ

กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุน มีจำนวนทั้งสิ้น 37 กองทุน อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบ 9 เดือนแรกได้คิดเป็น -9.63, -10.02 และ -14.20 % ตามลำดับ

กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 37 กองทุน อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบ 9 เดือนแรกได้คิดเป็น 6.80, 3.39 และ 2.97 % ตามลำดับ

กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่มีนโยบายการลงทุนอื่นๆ มีจำนวนทั้งสิ้น 15 กองทุน อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบ 9 เดือนแรกได้คิดเป็น 6.80, 3.39 และ 2.97 % ตามลำดับ

คาดการณ์ไตรมาสที่ 4
สำหรับไตรมาส 4 ของปี 2551 คาดการณ์ว่า ภาพรวมธุรกิจกองทุนจะไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสที่ 3 มากนัก นอกจากจะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นจากการจัดตั้ง Matching Fund ที่รัฐบาลประกาศจะเพิ่มเงินเข้ามาลงทุน และเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้นจากมาตรการขยายเพดานสิทธิประโยชน์ทางภาษีของการลงทุนในกองทุนรวม LTF และ RMF และเม็ดเงินของผู้ลงทุนส่วนใหญ่ที่นิยมเข้ามาลงทุนใน RMF และ LTF ตอนสิ้นปี

ด้านกองทุนตราสารหนี้ บลจ. ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในประเทศทดแทนกองทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งคาดว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูงกว่าเงินฝากประจำจะเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ลงทุน

ส่วนกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ คาดว่าจะมีการเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศน้อยลงสำหรับไตรมาสที่ 4 ต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์ในต่างประเทศจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น

เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผู้ลงทุน
"วรวรรณ" กล่าวว่า การเสนอขายกองทุนรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้น เป็นเรื่องของการนำเสนอความหลากหลายทั้งในแง่นโยบาย ผลตอบแทนการลงทุน และประโยชน์ในการกระจายความเสี่ยงให้แก่ผู้ลงทุน แต่การลงทุนในต่างประเทศมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมหลายประการเมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศ ซึ่งบริษัทจัดการต่างๆ จะทำหน้าที่ประเมินความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้ลงทุน

อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุนของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้หารือร่วมกันในวันที่ 17 ตุลาคม 2551 ถึงแนวทางในการเปิดเผยข้อมูลการลงทุนของกองทุนรวมเพิ่มเติม ซึ่งตกลงว่าจะให้บริษัทจัดการเปิดเผยข้อมูลชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุนสูงสุดอย่างน้อย 5 อันดับแรก พร้อมทั้งน้ำหนักการลงทุนเป็นร้อยละ โดยจะอัพเดทข้อมูลการลงทุน ณ วันทำการสุดท้ายของเดือนปัจจุบันภายในสิ้นเดือนถัดไป ไว้บนเว็บไซต์ของบริษัทจัดการ เริ่มตั้งแต่วันทำการสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน 2551 เป็นต้นไป
กำลังโหลดความคิดเห็น