xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.ชี้ขึ้นดอกเบี้ยหนุนลงทุนระยะสั้น จับตาแบงก์ขานรับกนง.ฉุดเม็ดเงินรวมหดหาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ชี้ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ส่งผลดีต่อการลงทุนในระยะสั้น ส่วนขายาวยังมึน เหตุผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาว ปรับตัวลดลงสวนทาง ระบุต้องจับตาบรรดาแบงก์พาณิชย์ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหรือไม่ หวั่นเงินลูกค้าไหลเข้าเงินฝากอีกระรอก ย้ำบลจ. ต้องเร่งให้ข้อมูลชูจุดเด่นด้านลดหย่อนภาษี หรือออกกองทุนที่มียิลด์สูงล่อใจเพื่อรักษาเม็ดเงินทั้งระบบ
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟิลิป จำกัด กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 3.75% นั้น เรื่องดังกล่าวอยู่ที่ธนาคารพาณิชย์จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามกนง.อีกหรือไม่ โดยหากมีการปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมแน่นอน แต่หากไม่มีการปรับขึ้น เรื่องนี้จะไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท เพราะหากธนาคารปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก จะทำให้นักลงทุนนำเงินออกจากกองทุนรวมเพื่อนำไปฝากไว้กับธนาคารแทน โดยที่ผ่านมาบรรดาธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระยะ 5-6 เดือน อยู่ที่ประมาณ 3.8 - 4.0%

"นักลงทุนส่วนใหญ่จะเปรียบเทียบถึงผลตอบแทนที่จะได้รับระหว่างการลงทุนในกองทุนรวม กับการนำเงินไปฝากแบงก์ว่าลงทุนอย่างไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่เมื่อแบงก์สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุน จึงทำให้นักลงทุนย้ายเงินจากกองทุนไปฝากแบงก์แทน ดังนั้น หากกองทุนจะต่อสู้กับดอกเบี้ยเงินฝาก จำเป็นที่ต้องออกกองทุนตราสารหนี้ประเภทอาร์เอ็มเอฟ ซึ่งใช้ข้อดีในแง่การลดหย่อนภาษีมาดึงดูดใจลูกค้า" นายวรรธนะ กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกนง. ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟิลลิป ประเมินว่าจะทำให้ผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ขณะนี้กลับพบว่า ผลตอบแทนที่น่าจะได้รับปรับตัวลดลงสวนทางต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

ด้าน นายนที ดำรงกิจการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ. นครหลวงไทย จำกัด กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า หากมองถึงการลงทุนในระยะสั้น เรื่องนี้จะส่งผลในเชิงบวก เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น หมายถึงผลตอบแทนที่จะได้รับย่อมดีขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกัน การปรับอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว เพราะตลาดไม่ได้ปรับตัวไปตามที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า อีกทั้งตอนนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะยาวได้ปรับตัวลดลงมาอย่างรุนแรง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ไม่มีผลหรือแรงผลักดันให้ดีขึ้น

"หลังจากที่กนง.ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทางบริษัทมองว่า เนื่องจากธนาคารได้มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อเป็นการระดมทุน ทำให้อุตสาหกรรมกองทุนรวมสู้ไม่ค่อยได้ และที่ทำได้คือนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนทราบว่าการลงทุนผ่านกองทุนสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งในจุดนี้การฝากเงินกับแบงก์ไม่สามารถทำได้"นาย นที กล่าว

แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุนรายหนึ่งกล่าวว่า กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกนง.ในครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกองทุนรวมมากนัก เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่และตลาดดอกเบี้ยได้คาดดารณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า กนง. จะปรับขึ้นอย่างแน่นอน จึงได้มีการปรับผลตอบแทนของตราสารหนี้ขึ้นไปก่อนที่กนง.จะปรับขึ้นแล้ว ทำให้นักลงทุนต่างรีบเข้าไปซื้อตราสารหนี้มาเก็บไว้แทนการลงทุนในสินทรัพย์อย่างอื่น และเชื่อว่านี่จะเป็นการปรับขึ้นครึ่งสุดท้ายในปีนี้

ส่วนกองทุนรวมมันนี มาร์เก็ต และกองทุนตราสารหนี้ แหล่งข่าวเชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากกองทุนทั้ง 2 ประเภทยังได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนมาโดยตลอด เพราะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากการฝากเงินไว้กับธนาคาร รวมถึงได้รับผลตอบแทนมากกว่า

ขณะเดียวกันประเมินว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังกังวลกับอัตราเงินเฟ้อ แม้การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ผู้ออมเงินได้รับดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่มองว่าผู้กู้โดยเฉพาะประชาชนที่มีภาระสินทรัพย์ต่างๆ ต้องมีภาระการผ่อนชำระสูงขึ้นเช่นกัน

ส่วนผลกระทบการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. จะกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังคาดการณ์ได้ยาก เพราะไตรมาสแรกปีนี้ การบริโภคและการลงทุนขยายตัวอย่างชัดเจนมาก ส่วนไตรมาส 2 มีการขยายตัวในอัตราลดลง และไตรมาส 3 ในเดือน ก.ค.เริ่มมีทิศทางการขยายตัวที่ดีขึ้น

“อัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นมาจากต้นทุนราคาน้ำมันเป็นสำคัญ ดังนั้นหากต้องการให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ ดอกเบี้ยจึงไม่ควรอยู่ในระดับที่สูง เพราะแม้ผู้ฝากเงินจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ต้องมาพิจารณาด้วยว่าผู้ฝากเงินมีหลายระดับ ก็มีความแตกต่างกันออกไป และเชื่อว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ อาจทำให้แบงก์ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้ง 2 ขา ทั้งเงินกู้และเงินฝาก นอกจากนี้เรื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของความสามารถในการชำระหนี้”
กำลังโหลดความคิดเห็น