บลจ.ฟิลลิปชี้การลงทุนผันผวน นักลงทุนแห่พักเงินกองทุนความเสี่ยงต่ำ พร้อมโชว์ผลงาน กอง PCASH และ RMF รั้งแชมป์จ่ายผลตอบแทนสูงสุด 3.22% และ 9.9% ต่อปี ระบุวิกฤตสหรัฐยังน่าห่วง ตราสารหนี้ภาคเอกชนต่างประเทศไม่น่าลงทุน ขณะเดียวกันเตรียมจัดแคมเปญกระตุ้นยอด RMF-LTF สิ้นปีแจกบัตรกำนัลเซ็นทรัลให้ลูกค้าที่ซื้อหน่วยลงทุน
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การลงทุนที่ผันผวนอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะจากวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุน เนื่องจากกองทุนมีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนหาแหล่งพักเงินในระยะเวลาสั้นๆ ได้
อย่างไรก็ตาม กองทุนรวมทุกกองทุนภายใต้การจัดการของบลจ. ฟิลลิป ยังไม่มีนโยบายที่จะเข้าลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ออกในต่างประเทศ เนื่องจาก ยังไม่มั่นใจในภาวะวิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริกาว่าจะลุกลามและรุนแรงแค่ไหน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระคืนหนี้ของตราสารนั้นได้
นายวรรธนะ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 เดือน ระหว่างวันที่ 20 มิถุนายนจนถึงวันที่ 19 กันยายน 2551 นั้นเป็นที่น่าพอเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีกองทุนภายใต้การบริหารของ บลจ.ฟิลลิป อย่างน้อย 2 กองทุนได้สร้างผลตอบแทนสูงสุดอยู่ในอันดับหนึ่ง
ได้แก่ กองทุนเปิดฟิลลิปบริหารเงิน (PHILLIP CASH MANAGEMENT OPEN END FUND) หรือ PCASH ซึ่งให้ผลตอบแทน 3.22% ต่อปี สูงที่สุดในจำนวนกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) และกองทุนเปิดฟิลลิปตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (PHILLIP FIXED INCOME RETIREMENT MUTUAL FUND) หรือ PFIXRMF ที่ให้ผลตอบแทน 9.90% หรือคิดเป็น 39.69% ต่อปี ซึ่งในปัจจุบันนี้ถือว่าสูงเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
สำหรับกองทุน PCASH มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง เงินฝากและตั๋วสัญญาใช้เงินของธนาคารพาณิชย์ ตั๋วเงินระยะสั้นที่ออกโดยสถาบันการเงิน และที่เหลือจะเป็นตราสารหนี้เอกชนระยะสั้นที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA ขึ้นไป ทั้งนี้ จุดเด่นของกองทุนอยู่ที่สภาพคล่องของตราสารหนี้ที่ได้ลงทุน ดังจะเห็นได้ว่าแม้ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมากองทุนจะมีขนาดเล็กลงไปมาก แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่สูงและค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ขณะเดียวกัน ยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
ขณะที่กองทุน PFIXRMF ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบ 3 เดือนเช่นเดียวกันนั้น จะเน้นการลงทุนในตั๋วเงินคลัง พันธบัตร ธปท.และรัฐวิสาหกิจ ตราสารหนี้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ทั้งในและต่างประเทศ
“กองทุนเปิดฟิลลิปตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อเตรียมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ เพื่อเป็นหลักประกันเงินออมในอนาคตของตัวเอง และผู้ที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี”นายวรรธนะกล่าว
นายวรรธนะ กล่าวอีกว่า นอกจากจะเป็นการใช้สิทธิ์ทางภาษี และลงทุนเพื่ออนาคตแล้ว กองทุนRMF ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ เพื่อการบริหารเงินลงทุนในส่วนที่ยอมรับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตราสารหนี้ได้
“ต้องยอมรับว่า ผลตอบแทนในระดับ 9.90% หรือคิดเป็น 39.69% ต่อปี น่าพอใจอย่างมากในภาวการณ์เช่นนี้”นายวรรธนะกล่าว
ทั้งนี้ บลจ.ฟิลลิป ยังได้เตรียมจัดแคมเปญกระตุ้นยอดซื้อกองทุน RMF และกองทุน LTF ในช่วงปลายปี โดยจะแจกเป็นบัตรกำนัลจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สำหรับผู้ลงทุนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป
นอกจากนี้ บลจ. ฟิลลิป ยังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (Selling Agents) ในการที่จะแจ้งยอดซื้อขายล่วงหน้า เพื่อที่จะให้ผู้จัดการกองทุนสามารถทราบถึงกระแสเงินสดได้ทันต่อการนำเงินไปลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงที่สุดอีกด้วย
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การลงทุนที่ผันผวนอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะจากวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุน เนื่องจากกองทุนมีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนหาแหล่งพักเงินในระยะเวลาสั้นๆ ได้
อย่างไรก็ตาม กองทุนรวมทุกกองทุนภายใต้การจัดการของบลจ. ฟิลลิป ยังไม่มีนโยบายที่จะเข้าลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ออกในต่างประเทศ เนื่องจาก ยังไม่มั่นใจในภาวะวิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริกาว่าจะลุกลามและรุนแรงแค่ไหน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระคืนหนี้ของตราสารนั้นได้
นายวรรธนะ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 เดือน ระหว่างวันที่ 20 มิถุนายนจนถึงวันที่ 19 กันยายน 2551 นั้นเป็นที่น่าพอเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีกองทุนภายใต้การบริหารของ บลจ.ฟิลลิป อย่างน้อย 2 กองทุนได้สร้างผลตอบแทนสูงสุดอยู่ในอันดับหนึ่ง
ได้แก่ กองทุนเปิดฟิลลิปบริหารเงิน (PHILLIP CASH MANAGEMENT OPEN END FUND) หรือ PCASH ซึ่งให้ผลตอบแทน 3.22% ต่อปี สูงที่สุดในจำนวนกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) และกองทุนเปิดฟิลลิปตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (PHILLIP FIXED INCOME RETIREMENT MUTUAL FUND) หรือ PFIXRMF ที่ให้ผลตอบแทน 9.90% หรือคิดเป็น 39.69% ต่อปี ซึ่งในปัจจุบันนี้ถือว่าสูงเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
สำหรับกองทุน PCASH มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง เงินฝากและตั๋วสัญญาใช้เงินของธนาคารพาณิชย์ ตั๋วเงินระยะสั้นที่ออกโดยสถาบันการเงิน และที่เหลือจะเป็นตราสารหนี้เอกชนระยะสั้นที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA ขึ้นไป ทั้งนี้ จุดเด่นของกองทุนอยู่ที่สภาพคล่องของตราสารหนี้ที่ได้ลงทุน ดังจะเห็นได้ว่าแม้ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมากองทุนจะมีขนาดเล็กลงไปมาก แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่สูงและค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ขณะเดียวกัน ยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
ขณะที่กองทุน PFIXRMF ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบ 3 เดือนเช่นเดียวกันนั้น จะเน้นการลงทุนในตั๋วเงินคลัง พันธบัตร ธปท.และรัฐวิสาหกิจ ตราสารหนี้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ทั้งในและต่างประเทศ
“กองทุนเปิดฟิลลิปตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อเตรียมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ เพื่อเป็นหลักประกันเงินออมในอนาคตของตัวเอง และผู้ที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี”นายวรรธนะกล่าว
นายวรรธนะ กล่าวอีกว่า นอกจากจะเป็นการใช้สิทธิ์ทางภาษี และลงทุนเพื่ออนาคตแล้ว กองทุนRMF ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ เพื่อการบริหารเงินลงทุนในส่วนที่ยอมรับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตราสารหนี้ได้
“ต้องยอมรับว่า ผลตอบแทนในระดับ 9.90% หรือคิดเป็น 39.69% ต่อปี น่าพอใจอย่างมากในภาวการณ์เช่นนี้”นายวรรธนะกล่าว
ทั้งนี้ บลจ.ฟิลลิป ยังได้เตรียมจัดแคมเปญกระตุ้นยอดซื้อกองทุน RMF และกองทุน LTF ในช่วงปลายปี โดยจะแจกเป็นบัตรกำนัลจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สำหรับผู้ลงทุนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป
นอกจากนี้ บลจ. ฟิลลิป ยังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (Selling Agents) ในการที่จะแจ้งยอดซื้อขายล่วงหน้า เพื่อที่จะให้ผู้จัดการกองทุนสามารถทราบถึงกระแสเงินสดได้ทันต่อการนำเงินไปลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงที่สุดอีกด้วย