xs
xsm
sm
md
lg

ลงทุนผ่านกองทุนรวม.. หนึ่งทางเลือกภายใต้พ.ร.บ.เงินฝาก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ภายใต้ภาวะพรบ. คุ้มสถาบันคุ้มครองเงินฝากเพิ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ น่าจะทำให้ผู้ฝากเงินโดยเฉพาะกลุ่มที่มีเงินออมมากกว่า 1 ล้านบาท เริ่มมองหาทางเลือกในการออมประเภทอื่นๆ ซึ่งการลงทุนในกองทุนรวมก็น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยหากนักลงทุนที่อาจจะยังไม่มีความเชี่ยวชาญพอที่จะลงทุนด้วยตนเอง"

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองเงินฝากได้เริ่มมีผลบังคับใช้ไปเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ฝากเงินจะได้รับการคุ้มครองเงินฝากที่เต็มจำนวนภายในระยะเวลา 1 ปีนี้เท่านั้น หลังจากนั้น 4 ปีที่เหลือการคุ้มครองจะลดลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งคุ้มครองแค่ 1 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปที่ผู้ฝากเงินที่มีจำนวนเงินฝากเกิน 1 ล้านบาท อาจพิจารณาให้น้ำหนักกับช่องทางการลงทุนอื่นๆ นอกเหนือจากเงินฝากมากขึ้น ซึ่งธุรกิจกองทุนรวมนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นักลงทุนหันมาให้ความสนใจ เนื่องจากนักลงทุนอาจจะไม่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆด้วยตนเอง ดังนั้นจึงจะเป็นการดีกว่าที่จะให้ผู้จัดการกองทุนเข้ามาบริหารให้

นักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุนในกองทุนรวม อาจจะพิจารณาถึงผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและระดับความเสี่ยงของแต่ละกองทุนเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้รวบรวมผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนรวมที่น่าสนใจในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเมือง และภาวะเงินเฟ้อ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ฝากเงินที่กำลังมองหาช่องทางการลงทุนใหม่ๆเพิ่มเติม ดังนี้

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์น่าจะเป็นกองทุนที่ได้รับการจับตามองจากนักลงทุนในขณะนี้ โดยกองทุนประเภทดังกล่าวเป็นกองทุนที่ระดมทุนไปซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์แล้วนำมาบริหาร เพื่อได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากค่าเช่าและเงินปันผล และเมื่อพิจารณาถึงผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โดยเฉลี่ย พบว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี อยู่ที่ระดับ 2.72% 4.96% และ 12.52% ตามลำดับ

ทั้งนี้การที่นักลงทุนอาจเคลื่อนย้ายจากกระแสหลักมาสู่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากกองทุนทางเลือกดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนในเกณฑ์ที่ดี ดังจะเห็นได้จากผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี มีค่ามากกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ณ เดือนกรกฎาคม ที่ระดับ 9.20% ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาถึงสภาพคล่องแล้ว กองทุนอสังหาริมทรัพย์ถูกกำหนดให้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นการซื้อขายจึงเป็นไปได้ง่ายและคล่องตัวกว่าการซื้อขายในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง

ส่วนกองทุนรวมตราสารทางการเงินระยะสั้น เป็นกองทุนที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเงินฝาก โดยมีความมั่นคงสูงมาก เนื่องจากเน้นการลงทุนไปที่ตราสารหนี้ของภาครัฐ ขณะที่ระยะเวลาการลงทุนมักจะค่อนข้างสั้น โดยมีกำหนดการชำระคืนเงินต้นเมื่อทวงถามหรือมีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี เมื่อเปรียบเทียบแล้วอัตราผลตอบแทนที่ได้จากกองทุนรวมตราสารทางการเงินระยะสั้นยังคงสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากบางประเภท และจากผลการดำเนินงาน 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ย้อนหลังโดยเฉลี่ย พบว่าให้อัตราผลตอบแทน 2.76% 2.70% และ 2.70% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (หลังหักภาษี) ประมาณ 0.21-0.74%

กองทุนรวมที่ลงทุนในทองคำ เป็นการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำโดยตรง ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี อยู่ที่ระดับ -3.43% -9.30% และ 17.87% ตามลำดับ ทั้งนี้แม้ว่าในระยะสั้นอัตราผลตอบแทนย้อนหลังจะติดลบเนื่องจากราคาทองคำปรับลดลงมา แต่คาดการณ์ได้ว่าในระยะยาวการลงทุนในกองทุนรวมประเภทนี้น่าจะให้ผลตอบแทนในระดับสูงขึ้นไปตามราคาทองคำที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาวเมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐาน

นอกจากนี้ยังมี กองทุนรวม Gold Linked ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนไม่ว่าราคาทองคำจะขึ้นหรือลงหากราคาทองคำในแต่ละสัปดาห์เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงราคาที่กำหนด ทั้งนี้บลจ.ต่างๆอาจป้องกันความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วยการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเอาไว้ และเมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานย้อนหลังในช่วงระยะเวลา 3 เดือน และ 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่าอัตราผลตอบแทนย้อนหลังโดยเฉลี่ยเท่ากับ 3.98% และ 4.39% ตามลำดับมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ดังนั้นกองทุนรวม Gold Linked น่าที่จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นักลงทุนเลือกที่จะเข้ามาลงทุนในธุรกิจกองทุนรวมเช่นเดียวกัน

ขณะที่แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอาจจะมีการปรับตัวลดลง แต่ กองทุนรวมตราสารทุนยังมีความน่าสนใจเพราะคาดว่าเมื่อสถานการณ์การณ์เมืองภายในประเทศเริ่มคลี่คลายลงไป รวมถึงแรงกดดันจากเศรษฐกิจภายนอกประเทศที่จะเริ่มชะลอตัวลง ก็น่าจะทำให้กองทุนรวมตราสารทุนกลับมาสร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนได้อีกครั้ง ซึ่งผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะกลางและระยะยาวในหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจในระดับสูง

สุดท้ายคือกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนระยะยาวให้กับผู้ลงทุน โดยกองทุนรวมดังกล่าวจะเน้นการลงทุนในหน่วยลงทุนของบลจ. ต่างประเทศที่ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ (Fund of Funds) ที่ให้ผลตอบแทนสูง (ส่วนใหญ่จะเป็นพันธบัตรรัฐบาล) โดยจะเลือกลงทุนในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) และเมื่อพิจารณาอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี พบว่าอยู่ที่ระดับ 3.58% 3.77% และ 4.22% ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประมาณ 1.33-1.88%

อย่างไรก็ตามการลงทุนในตลาดต่างประเทศ ผู้ลงทุนจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบว่ามีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไว้หรือไม่เพียงใด โดยกองทุนแต่ละกองอาจจะมีนโยบายในด้านนี้แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ผู้ลงทุนควรที่จะศึกษาเกี่ยวกับประเทศที่ทาง บลจ. จะเข้าไปลงทุนด้วยว่ามีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองมากน้อยเพียงใด

"ภายใต้ภาวะที่ พรบ. คุ้มสถาบันคุ้มครองเงินฝากเพิ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ น่าจะทำให้ผู้ฝากเงินโดยเฉพาะกลุ่มที่มีเงินออมมากกว่า 1 ล้านบาท เริ่มมองหาทางเลือกในการออมประเภทอื่นๆ ซึ่งการลงทุนในกองทุนรวมน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยหากนักลงทุนที่อาจจะยังไม่มีความเชี่ยวชาญพอที่จะลงทุนด้วยตนเอง โดยพบว่าหลายกองทุนให้อัตราผลตอบแทนย้อนหลังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างมาก แม้ว่าคงต้องยอมแลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน"

อย่างไรก็ตามการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมประเภทต่างๆ ผู้ลงทุนควรที่จะพิจารณาให้สอดคล้องกับระดับผลตอบแทนที่คาดหวังและระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ของตนเองด้วย นอกเหนือไปจากการพิจารณาผลการดำเนินงานของบลจ. แต่ละแห่ง นอกจากนั้นผู้ฝากเงินที่สนใจการลงทุนในกองทุนรวมดังกล่าว ยังควรชั่งน้ำหนักปัจจัยแวดล้อมต่างๆที่อาจมีผลต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของกองทุนรวมแต่ละประเภทในระยะถัดไปด้วย

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น