บลจ. กรุงไทย คาดผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นไม่เกิน 1ปียังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ตามแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต ล่าสุดเปิดขายกองทุนบอนด์ เน้นลงทุนตราสารสถาบันการเงินในประเทศ 2 โครงการ มูลค่ารวม7,000 ล้านบาท ให้ยิลด์ 3.30% และ 3.50% ตั้งแต่วันนี้ - 25 พ.ย. 2551
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในตราสารหนี้ว่า ขณะนี้ อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี อยู่ที่ระดับ 3.04 - 3.11% หรือลดลง 14-16 bps เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลดลงอย่างน้อย 0.50% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 3 ธันวาคม นี้ และยังมีแนวโน้มที่จะปรับลดได้อีกในการประชุมครั้งถัดไป เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ได้ส่งสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้แสดงความเห็นที่จะให้ความสำคัญกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ บลจ.ได้ทำการเปิดจำหน่ายกองทุนตราสารหนี้ในประเทศอีก 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้น 3 เดือน46 (KTST3M46) และกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 6 เดือน2 ( KTSIV6M2) โดยเปิดขายหน่วยลงทุนตั้งแต่วันนี้-25 พฤศจิกายน 2551 เพื่อรองรับความต้องการลงทุนผ่านกองทุนประเภทมดังกล่าวที่ยังมีอยู่มาก ตามภาวะที่นักลงทุนนิยมลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ
โดยกองทุน KTST3M46 มีอายุโครงการ 3 เดือน มูลค่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารสถาบันการเงินในประเทศ ได้แก่ หุ้นกู้ธนาคารทหารไทย และ หุ้นกู้ธนาคารกสิกรไทย ในสัดส่วน 40% ลงทุนในตั๋วแลกเงินบมจ.บัตรกรุงไทย , ตั๋วแลกเงินธนาคารกรุงไทย และ ตั๋วแลกเงินธนาคารไทยธนาคาร อีก 60% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 3.30%ต่อปี
ส่วนกองทุน KTSIV6M2 มีอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 5,000 ล้านบาท ที่เน้นลงทุนในสถาบันการเงิน และ ตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีความมั่นคงสูง อันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ A- ขึ้นไป โดยจะลงทุนในเงินฝากของธนาคารเกียรตินาคิน และธนาคารสินเอเซีย ในสัดส่วน28% ลงทุนในตั๋วแลกเงินของบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ , บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ , และบมจ.บัตรกรุงไทยในสัดส่วน 72% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทำให้ได้รับผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 3.50%ต่อปี
ก่อนหน้านี้ บลจ. กรุงไทยได้เปิดขายกองทุนรวมกรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงินต้น 55 (KTCP55) และกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ทอินเวส 3 เดือน 2 (KTSIV3 M2) เมื่อวันที่ 12-18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยกองทุน KTCP55 มีอายุโครงการ 6 เดือนมูลค่า 2,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในตราสรรหนี้ภาครัฐ และเงินฝากสถาบันการเงิน เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธปท.ในสัดส่วนประมาณ 80% และลงทุนในเงินฝากของธนาคารเกียรตินาคินประมาณ 20% ของมูลค่าทรัพย์สนิสุทธิของกองทุน ส่งผลให้กองทุนมีอัตราผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 3.00% ต่อปี
ขณะที่กองทุน KTSIV3M2 เป็นกองทุนที่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกระยะ 3 เดือน มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอชนที่มีความมั่นคงสูง และเงินฝากสถาบันการเงิน ซึ่งกองทุนจะลงทุนในเงินฝากหรือบัตรเงินฝากของธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารสินเอเชีย ในสัดส่วนปนะมาณ 26.50% และลงทุนในตั๋วแลกเงินของ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ บมจ.บัตรกรุงไทย และบมจ.น้ำตาลมิตรผล ในสัดส่วนประมาณ 73.50% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยให้อัตราผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 3.50% ต่อปี
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในตราสารหนี้ว่า ขณะนี้ อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี อยู่ที่ระดับ 3.04 - 3.11% หรือลดลง 14-16 bps เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลดลงอย่างน้อย 0.50% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 3 ธันวาคม นี้ และยังมีแนวโน้มที่จะปรับลดได้อีกในการประชุมครั้งถัดไป เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ได้ส่งสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้แสดงความเห็นที่จะให้ความสำคัญกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ บลจ.ได้ทำการเปิดจำหน่ายกองทุนตราสารหนี้ในประเทศอีก 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้น 3 เดือน46 (KTST3M46) และกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 6 เดือน2 ( KTSIV6M2) โดยเปิดขายหน่วยลงทุนตั้งแต่วันนี้-25 พฤศจิกายน 2551 เพื่อรองรับความต้องการลงทุนผ่านกองทุนประเภทมดังกล่าวที่ยังมีอยู่มาก ตามภาวะที่นักลงทุนนิยมลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ
โดยกองทุน KTST3M46 มีอายุโครงการ 3 เดือน มูลค่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารสถาบันการเงินในประเทศ ได้แก่ หุ้นกู้ธนาคารทหารไทย และ หุ้นกู้ธนาคารกสิกรไทย ในสัดส่วน 40% ลงทุนในตั๋วแลกเงินบมจ.บัตรกรุงไทย , ตั๋วแลกเงินธนาคารกรุงไทย และ ตั๋วแลกเงินธนาคารไทยธนาคาร อีก 60% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 3.30%ต่อปี
ส่วนกองทุน KTSIV6M2 มีอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 5,000 ล้านบาท ที่เน้นลงทุนในสถาบันการเงิน และ ตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีความมั่นคงสูง อันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ A- ขึ้นไป โดยจะลงทุนในเงินฝากของธนาคารเกียรตินาคิน และธนาคารสินเอเซีย ในสัดส่วน28% ลงทุนในตั๋วแลกเงินของบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ , บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ , และบมจ.บัตรกรุงไทยในสัดส่วน 72% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทำให้ได้รับผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 3.50%ต่อปี
ก่อนหน้านี้ บลจ. กรุงไทยได้เปิดขายกองทุนรวมกรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงินต้น 55 (KTCP55) และกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ทอินเวส 3 เดือน 2 (KTSIV3 M2) เมื่อวันที่ 12-18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยกองทุน KTCP55 มีอายุโครงการ 6 เดือนมูลค่า 2,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในตราสรรหนี้ภาครัฐ และเงินฝากสถาบันการเงิน เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธปท.ในสัดส่วนประมาณ 80% และลงทุนในเงินฝากของธนาคารเกียรตินาคินประมาณ 20% ของมูลค่าทรัพย์สนิสุทธิของกองทุน ส่งผลให้กองทุนมีอัตราผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 3.00% ต่อปี
ขณะที่กองทุน KTSIV3M2 เป็นกองทุนที่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกระยะ 3 เดือน มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอชนที่มีความมั่นคงสูง และเงินฝากสถาบันการเงิน ซึ่งกองทุนจะลงทุนในเงินฝากหรือบัตรเงินฝากของธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารสินเอเชีย ในสัดส่วนปนะมาณ 26.50% และลงทุนในตั๋วแลกเงินของ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ บมจ.บัตรกรุงไทย และบมจ.น้ำตาลมิตรผล ในสัดส่วนประมาณ 73.50% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยให้อัตราผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 3.50% ต่อปี