xs
xsm
sm
md
lg

กระแสกองทุนบอนด์มาแรง 3บลจ.เปิดขายพร้อมกัน5โครงการ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


3 บลจ.ใหญ่ ตบเท้าเข็นกองตราสารหนี้ออกขาย บลจ.กรุงไทย คลอดไอพีโอ2กอง"กรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครอเงินต้น"ชูผลตอบแทน 3%พร้อมกับ"กรุงไทยสมาร์ท อินเวส 3เดือน2"ยิลด์ 3.5%ตั้งแต่วันนี้ - 18 พ.ย. 2551เช่นเดียวกับค่ายแอสเซทพลัส ที่ออก2โครงการรวด ขณะที่ บลจ.ไอเอ็นจี เข็น"ไอเอ็นจี ไทย เอ็มเอ็ม 3M6" อายุ 3 เดือน ผลตอบแทน 3.55% แต่ปิดขาย17 พ.ย.นี้

นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในระหว่างวันนี้ -18 พฤศจิกายน 2551 บริษัทเปิดขายกองทุนรวมกรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครอเงินต้น 55(KTCP55 ) และกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 3 เดือน 2 (KTSIV3 M2)

โดยกองทุน KTCP55 มีอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 2,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ และเงินฝากสถาบันการเงิน เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในสัดส่วนประมาณ 80% และลงทุนในเงินฝากของธนาคารเกียรตินาคิน ประมาณ 20% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ส่งผลให้กองทุนมีอัตราผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 3.00% ต่อปี ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ เนื่องจากกองเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐและเงินฝากธนาคารพาณิชย์ซึ่งปัจจุบันได้รับความคุ้มครองโดยสถาบันประกันเงินฝาก

ส่วนกองทุน KTSIV3M2 เป็นกองทุนที่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกระยะ 3 เดือน มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีความมั่นคงสูง และเงินฝากสถาบันการเงิน ซึ่งกองทุนจะลงทุนใน เงินฝากหรือบัตรเงินฝากของธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารสินเอเซีย ในสัดส่วนประมาณ 26.50% และลงทุนในตั๋วแลกเงินของบมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ บมจ.บัตรกรุงไทย และบมจ.น้ำตาลมิตรผล ในสัดส่วนประมาณ 73.50% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ส่งผลให้กองทุนมีอัตราผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 3.50% ต่อปี โดยเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเพิ่มขึ้น เพราะกองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารการเงินของสถาบันการเงินและบริษัทเอกชนที่มีอันดับความเชื่อถือตั้งแต่ A- ขึ้นไป

นายสมชัย กล่าวว่า ภาวะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ว่า ตลาดยังมีการคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%- 0.50% จากปัจจุบันที่คงอยู่ในระดับ 3.75% ในการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 3 ธันวาคม 2551 ซึ่งที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นได้ปรับตัวลดลง โดยล่าสุดแกว่งตัวอยู่ในอัตรา 3.20%-3.25% หรือลดลง 3-5 bps เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการลงทุนในตราสารรุ่นอายุ 3-6 เดือน ในขณะที่จำนวนตราสารในรุ่นดังกล่าวยังมีอยู่จำกัด

ขณะที่ บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดขายกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอ็มเอ็ม 3M6 อายุโครงการ 3 เดือน ซึ่งมีขนาดกองทุนอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท เเละให้ผลตอบเเทนไม่น้อยกว่า 3.55% ต่อปี เสนอขายตั้งเเต่วันนี้ถึง 17 พฤศจิกายน 2551นี้ โดยเน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่เสนอขายในประเทศ ทั้งภาครัฐบาลรัฐวิสาหกิจ หรือภาคเอกชน โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (investment grade) จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจากสำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์เเละตลาดหลักทรัพย์ ตราสารหนี้ที่ออก รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันการจ่ายเงินโดยสถาบันการเงิน รวมทั้งเงินฝาก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ ตราสารส่วนใหญ่ที่กองทุนลงทุนจะมีอายุคงเหลือประมาณ 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงทุน

ในกรณีที่กองทุนคาดว่าจะไม่สามารถซื้อตราสารที่มีอายุคงเหลือดังกล่าวได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ กองทุนจะเข้าลงทุนในตราสารที่มีอายุยาวกว่า 3 เดือน โดยจะเข้าทำสัญญาขายตราสารดังกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ลงทุนในตราสารดังกล่าว เพื่อให้อายุของสัญญาสอดคล้องกับวันรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ซึ่งกำหนดไว้ประมาณ 3 เดือนสำหรับเงินลงทุนส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารอื่นที่ไม่ขัดต่อประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งนี้ กองทุนจะไม่ลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) หรือ CreditLinked Note

ขณะเดียวกัน กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย คุ้มครองเงินต้นเพื่อการเลี้ยงชีพ 2 (ING Thai Capital Protection Retirement Mutual Fund 2) ซึ่งเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพประเภทคุ้มครองเงินต้น จะครบกำหนดรอบการลงทุน 5 ปี ในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยในช่วงระหว่างวันที่ 24-28 พฤศจิกายน 2551 ผู้ถือหน่วยลงทุนจะสามารถทำรายการซื้อ / ขายคืน / การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือ 1การซื้อหน่วยลงทุน (Subscription order) / การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า (Switching-in order) ในวันที่ 24-28 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งเงื่อนไขการคุ้มครองเงินต้นในรอบถัดไป บริษัทจัดการจะพิจารณาจากมูลค่าหน่วยลงทุนสุทธิ (NAV) ที่สูงสุดในช่วงระหว่างวันที่ 24-28 พฤศจิกายน 2551 เป็นอัตราการคุ้มครองเงินต้นในรอบถัดไป ส่วนการขายคืนหน่วยลงทุน (Redemption order) / การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนออก (Switching-out order) จะทำธุรกรรมได้ในวันที่ 24-28 พฤศจิกายน 2551 นี้

ด้านนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน นี้ บริษัทฯ จะเสนอขายกองทุนใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟพันธบัตร 4 (ASP-ACGOV4) เน้นลงทุนในตั๋วเงินคลัง และหุ้นกู้ระยะสั้นหรือเงินฝาก รอบระยะเวลาการลงทุนแรก ประมาณ 3 เดือน โดยคาดว่าจะลงทุนในตั๋วเงินคลัง รุ่น TB09204B อายุ 3 เดือน ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.15%* และหุ้นกู้ระยะสั้นธนาคารกสิกรไทย หรือเงินฝาก ในสัดส่วน 20% ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.65%* ทั้งนี้ คาดว่าผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนจะอยู่ที่ 3.25% ต่อปี และหลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.15% แล้ว จะสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 3.10%* ต่อปี

ขณะเดียวกัน กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 4 (ASP-ACFIXED4) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนในประเทศ ทั้งตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ ของสถาบันการเงิน อายุ 3 เดือน ที่ผู้ออกตราสารได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป เช่น ตั๋วแลกเงินของ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนตราสาร 3.95%ธนาคารทิสโก้ 3.88% และบริษัท บัตรเครดิตกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 4.15% และหุ้นกู้ของธนาคารกสิกรไทย ผลตอบแทนตราสาร 3.85% โดยมีสัดส่วนการลงทุนตราสารละ 25% ทั้งนี้ คาดว่าผลตอบแทนของตราสารในพอร์ตการลงทุนอยู่ที่ระดับ 3.96% ต่อปี เมื่อหักค่าใช้จ่ายกองทุนประมาณ 0.31% แล้วจะสามารถสร้างโอกาสผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ 3.10% ต่อปี
กำลังโหลดความคิดเห็น