ผู้จัดการรายวัน - บลจ. เอ็มเอฟซี จ่ายปันผลกองทุนเปิดธีรทรัพย์ (TS) ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.34 บาท นักลงทุนแห่รับพร้อมกัน 24 พ.ย. นี้ หลังฟันกำไรจากหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มแบงก์ ด้าน บลจ. กรุงไทย จ่ายปันผล KTDF ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วยในวันที่ 20 พ.ย.
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี ว่า ขณะนี้กองทุนเปิดธีรทรัพย์ (TS)ได้ประกาศหยุดการขายหน่วยลงทุนชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 12-13 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.34 บาทสำหรับรอบระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 – 31 ตุลาคม 2551 โดยปิดสมุดทะเบียนและเริ่มทำการขายหน่วยลงทุนอีกครั้ง ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อปรากฎในวันปิดสมุดทะเบียนดังกล่าว ภายในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2551
สำหรับกองทุนดังกล่าว มีนโยบายการลงทุนที่จะลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และจะลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทตราสารแห่งทุน ส่วนนโยบายเงินปันผล ทางกองทุนจะลงทุนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 ของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริง (realized) ในแต่ละงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผล
โดยผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 26 กันยายน 2551 ทางกองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -19.01% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตราฐาน -20.21% ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -22.08% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตราฐาน -24.99% และให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ -20.41% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตราฐาน -26.79%
ทั้งนี้ กลุ่มหลักทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนในตราสารแห่งทุน ประกอบด้วย กลุ่มพลังงาน 33.08% กลุ่มธนาคาร 20.08% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 8.90% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 5.25% กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 4.26% และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ 10.41% รวมทั้งยังลงทุนในตราสารทางการเงินอื่นๆอีก 18.02% รวมทั้งสิ้น 100%
ส่วนรายชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปลงทุน 10 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ปตท. 12.06% บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 9.86% บมจ. ธนาคารกรุงเทพ 8.98% บมจ. ธนาคารกสิกรไทย 7.12% บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 6.97% บมจ. บ้านปู 5.98% บมจ. ปูนซีเมนต์ไทย 4.26% บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ 3.98% บมจ. บีอีซี เวิลด์ 3.47% และ BCP-DR 1 3.31% รวมทั้งสิ้น 65.99%
ขณะเดียวกัน นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการจัดการลงทุนของบริษัท มีมติให้จ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ปันผล ( KTDF) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2551
โดยกองทุน KTDF เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป และมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล โดยแนวทางการบริหารของบริษัทจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน ตามการคาดการณ์ภาวะตลาดและอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการคัดเลือกตราสารที่จะลงทุนจะคำนึงถึงความมั่นคงของตราสารเป็นหลัก ทั้งนี้หากเป็นตราสารภาคเอกชนจะลงทุนเฉพาะตราสารที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 2 อันดับแรกขึ้นไป รวมถึงมูลค่าผลตอบแทนที่เหมาะสม
สำหรับข้อมูลสถานการลงทุน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2551 กองทุน KTDF มีสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรภาครัฐของไทยร้อยละ 69.30 ตราสารหนี้และเงินฝากระยะสั้นในสถาบันการเงินร้อยละ 7.70 ลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อสองอันดับแรกขึ้นไปในอัตราร้อยละ 19.00 และถือเงินสดและเงินฝากเพื่อการดำเนินงานร้อยละ 4.00
ส่วนผลตอบแทนในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2551 อยู่ที่อัตราร้อยละ 4.09 โดยการจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่2 ของปี 2551 ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 ได้มีการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ในปีนี้ผู้ลงทุนได้รับเงินปันผล ทั้งสิ้น 0.50 บาทต่อหน่วย
นายสมชัย กล่าวถึง ภาวะตลาดและแนวโน้มการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ว่า ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา ภาวะตลาดตราสารหนี้มีความผันผวนสูงมาก เนื่องจากมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อทำให้นับจากต้นปีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง) ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 0.50% มาอยู่ที่ 3.75% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินในสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้เริ่มลุกลามสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง และยังขยายวงกว้างไปยังเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น แต่ละประเทศจึงมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายนโยบายการการเงินและการคลังในภาวะการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัว แรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลง จึงคาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 3.25% ภายในสิ้นปีนี้ และมีแนวโน้วจะปรับลดได้อีก 0.25%-0.50% ภายในครึ่งแรกของปี 2552 หากอัตราดอกเบี้ยเป็นไปในทิศทางดังกล่าว คาดว่าจะทำให้การลงทุนในตราสารหนี้สร้างผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ดังนั้น แนวทางการบริหารกองทุน KTDF จะมีการปรับเพิ่ม Portfolio duration ให้สอดคล้องกับภาวะตลาด และการคาดการณ์ผลตอบแทน พร้อมทั้งจะเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง และความมั่นคงสูง
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี ว่า ขณะนี้กองทุนเปิดธีรทรัพย์ (TS)ได้ประกาศหยุดการขายหน่วยลงทุนชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 12-13 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.34 บาทสำหรับรอบระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 – 31 ตุลาคม 2551 โดยปิดสมุดทะเบียนและเริ่มทำการขายหน่วยลงทุนอีกครั้ง ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อปรากฎในวันปิดสมุดทะเบียนดังกล่าว ภายในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2551
สำหรับกองทุนดังกล่าว มีนโยบายการลงทุนที่จะลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และจะลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทตราสารแห่งทุน ส่วนนโยบายเงินปันผล ทางกองทุนจะลงทุนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 ของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริง (realized) ในแต่ละงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผล
โดยผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 26 กันยายน 2551 ทางกองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -19.01% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตราฐาน -20.21% ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -22.08% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตราฐาน -24.99% และให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ -20.41% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตราฐาน -26.79%
ทั้งนี้ กลุ่มหลักทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนในตราสารแห่งทุน ประกอบด้วย กลุ่มพลังงาน 33.08% กลุ่มธนาคาร 20.08% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 8.90% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 5.25% กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 4.26% และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ 10.41% รวมทั้งยังลงทุนในตราสารทางการเงินอื่นๆอีก 18.02% รวมทั้งสิ้น 100%
ส่วนรายชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปลงทุน 10 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ปตท. 12.06% บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 9.86% บมจ. ธนาคารกรุงเทพ 8.98% บมจ. ธนาคารกสิกรไทย 7.12% บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 6.97% บมจ. บ้านปู 5.98% บมจ. ปูนซีเมนต์ไทย 4.26% บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ 3.98% บมจ. บีอีซี เวิลด์ 3.47% และ BCP-DR 1 3.31% รวมทั้งสิ้น 65.99%
ขณะเดียวกัน นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการจัดการลงทุนของบริษัท มีมติให้จ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ปันผล ( KTDF) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2551
โดยกองทุน KTDF เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป และมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล โดยแนวทางการบริหารของบริษัทจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน ตามการคาดการณ์ภาวะตลาดและอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการคัดเลือกตราสารที่จะลงทุนจะคำนึงถึงความมั่นคงของตราสารเป็นหลัก ทั้งนี้หากเป็นตราสารภาคเอกชนจะลงทุนเฉพาะตราสารที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 2 อันดับแรกขึ้นไป รวมถึงมูลค่าผลตอบแทนที่เหมาะสม
สำหรับข้อมูลสถานการลงทุน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2551 กองทุน KTDF มีสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรภาครัฐของไทยร้อยละ 69.30 ตราสารหนี้และเงินฝากระยะสั้นในสถาบันการเงินร้อยละ 7.70 ลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อสองอันดับแรกขึ้นไปในอัตราร้อยละ 19.00 และถือเงินสดและเงินฝากเพื่อการดำเนินงานร้อยละ 4.00
ส่วนผลตอบแทนในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2551 อยู่ที่อัตราร้อยละ 4.09 โดยการจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่2 ของปี 2551 ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 ได้มีการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ในปีนี้ผู้ลงทุนได้รับเงินปันผล ทั้งสิ้น 0.50 บาทต่อหน่วย
นายสมชัย กล่าวถึง ภาวะตลาดและแนวโน้มการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ว่า ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา ภาวะตลาดตราสารหนี้มีความผันผวนสูงมาก เนื่องจากมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อทำให้นับจากต้นปีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง) ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 0.50% มาอยู่ที่ 3.75% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินในสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้เริ่มลุกลามสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง และยังขยายวงกว้างไปยังเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น แต่ละประเทศจึงมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายนโยบายการการเงินและการคลังในภาวะการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัว แรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลง จึงคาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 3.25% ภายในสิ้นปีนี้ และมีแนวโน้วจะปรับลดได้อีก 0.25%-0.50% ภายในครึ่งแรกของปี 2552 หากอัตราดอกเบี้ยเป็นไปในทิศทางดังกล่าว คาดว่าจะทำให้การลงทุนในตราสารหนี้สร้างผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ดังนั้น แนวทางการบริหารกองทุน KTDF จะมีการปรับเพิ่ม Portfolio duration ให้สอดคล้องกับภาวะตลาด และการคาดการณ์ผลตอบแทน พร้อมทั้งจะเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง และความมั่นคงสูง
