บลจ.เอวายเอฟ ตอบสนองความต้องการนักลงทุน ตามกลยุทธ์เน้นเสนอขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมระะสั้น หลังแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะกลางถึงยาวยังปรับตัวลดลงจากปัญหาเศรษบกิจโลกที่ชะลอตัวตามปัจจัยลบวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐ ด้วยการเสนอขายกองทุนเอ็นแฮนซ์ไทยโน้ทพลัส 3M1 คาดผลตอบแทน 3.55 %
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า ทางบลจ.ได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการเปลี่ยนมาออกกองทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการสำรองสภาพคล่องเอาไว้ เนื่องจากนักลงทุนอาจมีความกังวลเรื่องความมั่นคงของสถาบันการเงิน รวมทั้งในช่วงนี้สภาพคล่องในระบบอยู่ในภาวะตึงตัวทำให้ผู้ลงทุนโดยเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีความมั่นคงสูง โดยการเปิดขายหน่วยลงทุน กองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์ไทยโน้ทพลัส 3M1 (AYFETP3M1) เปิดขายตั่งแต่วันที่ 13 – 21 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในประเทศ
ส่วนแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในระยะกลางถึงยาวนั้น ซีอีโอ บลจ.เอวายเอฟ กล่าวว่า น่าจะมีการปรับลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นทางบริษัท จึงได้นำเสนอกองทุนAYFETP3M1 ด้วยการให้ความสำคัญคัดเลือกคุณภาพของบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนเป็นสำคัญ โดยการเน้นกระบวนการลงทุนที่รัดกุม และเลือกลงทุนในบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป เหมือนกับทุกกองทุนที่ผ่านมา โดยมีผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 3.55% ต่อปี (หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.25%)
ทั้งนี้ กองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์ไทยโน้ทพลัส 3M1 (AYFETP3M1) เป็นกองทุนที่มีอายุประมาณ 3 เดือน กองทุนแรกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาเพื่อเป็น ทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นในตราสารหนี้ในประเทศ ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป ซึ่งมีผู้ออก เช่น ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทิสโก้ บริษัท ทุนธนชาต บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ เป็นต้น โดยจะลงทุนในตราสารของแต่ละแห่งไม่เกิน 25% ซึ่งกองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง และแสวงหาโอกาสในการรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
ที่ผ่านมา ในส่วนของการบริหารกองทุนรวมตราสารทุน บลจ.เอวายเอฟ ได้มีการปรับพอร์ตไปแล้ว โดยจะถือเงินสดมากขึ้นถึง 5% จากเดิมที่มีเงินสดภายในกองทุนเพียง 2-3% เพื่อเป็นสภาพคล่องภายในกองทุน ขณะเดียวกันการเก็บหุ้นเข้าพอร์ตนั้น ผู้จัดการกองทุนจะเลือกหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมือง เเละปัจจัยเศรษฐกิจโลกน้อยที่สุด เช่น หุ้นกลุ่มสื่อสาร เเละหุ้นกลุ่มพาณิชย์ เป็นต้น เเละการเลือกหุ้น BIG CAPนั้นบริษัทจะเลือกดูที่พื้นฐานของหุ้นเป็นรายตัวมากกว่า ซึ่งให้ความสำคัญของแนวโน้มอัตราการเติบโตทางธุรกิจในระยะ 3-5ปี ส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มคอมมอดิตี้คงต้องชะลอออกไปก่อน เนื่องจากบรรดาเฮดจ์ฟันด์ต่างเทขายหุ้นประเภทนี้เพื่อทำกำไรออกมาเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลให้ราคาคอมมอดิตี้ผันผวนตามไปด้วย
โดยผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2551 พบว่า กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล 70/30 มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในกองทุนหุ้น ซึ่งผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -8.82% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐาน SET INDEXอยู่ที่ 23.39% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -13.88% น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่อยู่ในระดับ -26.99% อันดับที่ 2 คือ กองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล 70/30 มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน -9.21% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -14.04% ส่วนอันดับที่ 3 คือ กองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผลเพื่อการเลี้ยงชีพ มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน-11.43% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่-17.97%
นอกจากนี้บริษัทได้มีการเปิดให้บริการสมุดบัญชีเเสดงสิทธิในหน่วยลงทุนเพื่อให้ผู้ถือหน่วยสามารถบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมได้อย่างสะดวกมากขึ้น โดยบลจ.เปิดให้บริการสมุดบัญชีทั้งสิ้น 12 กองทุนด้วยกัน แบ่งออกเป็นทั้ง กองทุนตราสารตลาดเงิน , กองทุนหุ้นระยะยาว และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งการจัดทำสมุดบัญชีกองทุนทั้ง 12 กองนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวการลงทุน บันทึกข้อมูลรายละเอียดการทำธุรกรรมของผู้ถือหน่วยเองได้อย่างครบถ้วน โดยสมุดบัญชีของกองทุนตราสารตลาดเงินทั้ง 2 กองทุนจะทำให้ผู้ถือหน่วยมั่นใจเเละมองเห็นเงินลงทุนทำงานเพิ่มขึ้นทุกวัน เเละเป็นวิธีที่ผู้ถือหน่วยคุ้นเคยเหมือนกับการใช้สมุดบัญชีเงินฝากของธนาคาร ส่วนบัญชีกองทุน LTFเเละ RMF จะเป็นประโยชน์มากเช่นกันสำหรับการติดตามยอดจำนวนเงินที่ลงทุนเพื่อนำไปใช้หักลดหย่อยภาษีในเเต่ละปี
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า ทางบลจ.ได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการเปลี่ยนมาออกกองทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการสำรองสภาพคล่องเอาไว้ เนื่องจากนักลงทุนอาจมีความกังวลเรื่องความมั่นคงของสถาบันการเงิน รวมทั้งในช่วงนี้สภาพคล่องในระบบอยู่ในภาวะตึงตัวทำให้ผู้ลงทุนโดยเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีความมั่นคงสูง โดยการเปิดขายหน่วยลงทุน กองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์ไทยโน้ทพลัส 3M1 (AYFETP3M1) เปิดขายตั่งแต่วันที่ 13 – 21 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในประเทศ
ส่วนแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในระยะกลางถึงยาวนั้น ซีอีโอ บลจ.เอวายเอฟ กล่าวว่า น่าจะมีการปรับลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นทางบริษัท จึงได้นำเสนอกองทุนAYFETP3M1 ด้วยการให้ความสำคัญคัดเลือกคุณภาพของบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนเป็นสำคัญ โดยการเน้นกระบวนการลงทุนที่รัดกุม และเลือกลงทุนในบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป เหมือนกับทุกกองทุนที่ผ่านมา โดยมีผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 3.55% ต่อปี (หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.25%)
ทั้งนี้ กองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์ไทยโน้ทพลัส 3M1 (AYFETP3M1) เป็นกองทุนที่มีอายุประมาณ 3 เดือน กองทุนแรกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาเพื่อเป็น ทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นในตราสารหนี้ในประเทศ ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป ซึ่งมีผู้ออก เช่น ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทิสโก้ บริษัท ทุนธนชาต บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ เป็นต้น โดยจะลงทุนในตราสารของแต่ละแห่งไม่เกิน 25% ซึ่งกองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง และแสวงหาโอกาสในการรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
ที่ผ่านมา ในส่วนของการบริหารกองทุนรวมตราสารทุน บลจ.เอวายเอฟ ได้มีการปรับพอร์ตไปแล้ว โดยจะถือเงินสดมากขึ้นถึง 5% จากเดิมที่มีเงินสดภายในกองทุนเพียง 2-3% เพื่อเป็นสภาพคล่องภายในกองทุน ขณะเดียวกันการเก็บหุ้นเข้าพอร์ตนั้น ผู้จัดการกองทุนจะเลือกหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมือง เเละปัจจัยเศรษฐกิจโลกน้อยที่สุด เช่น หุ้นกลุ่มสื่อสาร เเละหุ้นกลุ่มพาณิชย์ เป็นต้น เเละการเลือกหุ้น BIG CAPนั้นบริษัทจะเลือกดูที่พื้นฐานของหุ้นเป็นรายตัวมากกว่า ซึ่งให้ความสำคัญของแนวโน้มอัตราการเติบโตทางธุรกิจในระยะ 3-5ปี ส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มคอมมอดิตี้คงต้องชะลอออกไปก่อน เนื่องจากบรรดาเฮดจ์ฟันด์ต่างเทขายหุ้นประเภทนี้เพื่อทำกำไรออกมาเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลให้ราคาคอมมอดิตี้ผันผวนตามไปด้วย
โดยผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2551 พบว่า กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล 70/30 มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในกองทุนหุ้น ซึ่งผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -8.82% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐาน SET INDEXอยู่ที่ 23.39% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -13.88% น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่อยู่ในระดับ -26.99% อันดับที่ 2 คือ กองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล 70/30 มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน -9.21% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -14.04% ส่วนอันดับที่ 3 คือ กองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผลเพื่อการเลี้ยงชีพ มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน-11.43% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่-17.97%
นอกจากนี้บริษัทได้มีการเปิดให้บริการสมุดบัญชีเเสดงสิทธิในหน่วยลงทุนเพื่อให้ผู้ถือหน่วยสามารถบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมได้อย่างสะดวกมากขึ้น โดยบลจ.เปิดให้บริการสมุดบัญชีทั้งสิ้น 12 กองทุนด้วยกัน แบ่งออกเป็นทั้ง กองทุนตราสารตลาดเงิน , กองทุนหุ้นระยะยาว และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งการจัดทำสมุดบัญชีกองทุนทั้ง 12 กองนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวการลงทุน บันทึกข้อมูลรายละเอียดการทำธุรกรรมของผู้ถือหน่วยเองได้อย่างครบถ้วน โดยสมุดบัญชีของกองทุนตราสารตลาดเงินทั้ง 2 กองทุนจะทำให้ผู้ถือหน่วยมั่นใจเเละมองเห็นเงินลงทุนทำงานเพิ่มขึ้นทุกวัน เเละเป็นวิธีที่ผู้ถือหน่วยคุ้นเคยเหมือนกับการใช้สมุดบัญชีเงินฝากของธนาคาร ส่วนบัญชีกองทุน LTFเเละ RMF จะเป็นประโยชน์มากเช่นกันสำหรับการติดตามยอดจำนวนเงินที่ลงทุนเพื่อนำไปใช้หักลดหย่อยภาษีในเเต่ละปี