บลจ.กสิกรไทย ระบุ นักลงทุนรีเทริน์ซื้อกองเกาหลีเพิ่ม หลังแบงก์ลดการะดมเงินฝาก เค พันธบัตรเกาหลี วายรับอานิสงส์ยอดจองเต็มก่อนกำหนด พร้อมเล็งออกสตรักเจอร์โน้ตเพิ่มอีก 3 กอง ประเดิม เค หยวน ลิงค์ ต้นเดือนตุลา หลังโดนโรคเลื่อนจากพิษแคมเปญดอกเบี้ยแบงก์
นางสาวเอื้อพันธ์ เพ็ชราภรณ์ ผู้บริหารฝ่ายบริหารผู้ลงทุนและทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิดเค พันธบัตรเกาหลี 1 ปี วาย ซึ่งได้เปิดให้จองซื้อหน่วยลงทุนครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2551 ถึง 5 กันยายน 2551 จำเป็นต้องปิดจองซื้อก่อนกำหนด เนื่องจากมีผู้จองซื้อเป็นจำนวนมาก จนเต็มมูลค่าโครงการ 1,159 ล้านบาท
ทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่ง มาจากดีมานของลูกค้าที่ล้นออกมาในช่วงระดมเงินฝากของธนาคาร ที่หมดกำหนดไปเมื่อประมาณวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้กองทุนนี้ ซึ่งมีผลตอบแทนและความเสี่ยงใกล้เคียงกันได้รับความนิยมมากขึ้น และทำให้ยอดการลงทุนรวมในกองทุนพันธบัตรเกาหลีของบริษัทสูงถึงกว่า 48,290.76 ล้านบาทแล้วในปัจจุบัน
“ยอดขายเกาหลีมันตื้อเหมือนกันในช่วงที่แบงก์ระดมเงินฝาก อย่าง 5 เดือนได้ 4% เขาก็ไปฝากกันหมด แต่มันก็มีลิมิตอย่างแคมเปญดอกเบี้ยสูงๆ ต้องฝาก 1 ล้าน หรือไม่เกิน 5 ล้าน เงินที่เหลือมันก็กลับมาอยู่ในกองนี้”นางสาวเอื้อพันธ์กล่าว
นางสาวเอื้อพันธ์ กล่าวอีกว่า การเปิดขายกองทุนพันธบัตรเกาหลีของบริษัทหลังจากนี้ คงจะต้องดูสถานการณ์ก่อน แต่เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจลงทุนในตราสารหนี้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามยังมีบ้างส่วนที่นำเงินมาลงทุนในกองทุนหุ้นบ้าง โดยเฉพาะกองทุนรวม LTF และ RMF
โดยกองทุนที่บริษัทจะเน้นทำการตลาดในขณะนี้ จะเป็นกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทใน เครือเซ็นทารา(CENTARA) มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 8-18 กันยายนนี้
“เราคงจะไม่ขายพร้อมๆ กันแต่คงจะรอให้กองเซ็นทารา ขายเสร็จก่อน แต่เชื่อว่ากองเกาหลียังน่าสนอยู่ เพราะสินค้าที่ใกล้เคียงเงินฝากยังไม่มีอะไรน่าสนกว่านี้ โดยECP เองผลตอบแทนมันยังอยู่ทีแค่ 3% กว่าๆเท่านั้น”นางสาวเอื้อพันธ์กล่าว
นางสาวเอื้อพันธ์ กล่าวอีกว่า นอกจากกองพันธบัตรเกาหลีแล้ว บริษัทยังเตรียมที่จะออกกองทุนตราสารหนี้จัดโครงสร้าง หรือ สตรักเจอร์โน้ต อีก 2-3 กองในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ โดยในช่วงต้นเดือนตุลาจะเป็นกองทุน เค หยวน ลิงค์ ซึ่งได้เลื่อนขายมาระยะหนึ่งแล้วในช่วงที่มีการระดมเงินฝากของธนาคาร ส่วนอีก 2 กองยังต้องพิจารณาก่อนว่าจะเป็นรูปแบบใด
สำหรับกองทุน เค หยวน ลิงค์ จะมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน รวมถึงตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Notes) ที่มีเงื่อนไขที่จะชำระเงินต้นคืนเต็มจำนวนในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ กองทุนมีนโยบายจะป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนของเงินต้นและผลตอบแทนขั้นต่ำทั้งจำนวน แต่อาจไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของผลตอบแทนขั้นสูง ดังนั้นผู้ลงทุนมีโอกาสอัตราผลตอบแทนของกองทุนจะอ้างอิงกับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินหยวนกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ ผลตอบแทนที่ได้จะคำนวณและตรวจสอบเดือนละครั้ง โดยหากค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ น้อยกว่า 9 เดือนจาก 12 เดือน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสุทธิขั้นต่ำประมาณ 1.50% แต่หากเงินหยวนแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ 9 เดือน จาก 12 เดือน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสุทธิขั้นสูงประมาณ 5.50% รับผลตอบขั้นสูงที่ผันแปรอัตราแลกเปลี่ยน
นางสาวเอื้อพันธ์ เพ็ชราภรณ์ ผู้บริหารฝ่ายบริหารผู้ลงทุนและทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิดเค พันธบัตรเกาหลี 1 ปี วาย ซึ่งได้เปิดให้จองซื้อหน่วยลงทุนครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2551 ถึง 5 กันยายน 2551 จำเป็นต้องปิดจองซื้อก่อนกำหนด เนื่องจากมีผู้จองซื้อเป็นจำนวนมาก จนเต็มมูลค่าโครงการ 1,159 ล้านบาท
ทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่ง มาจากดีมานของลูกค้าที่ล้นออกมาในช่วงระดมเงินฝากของธนาคาร ที่หมดกำหนดไปเมื่อประมาณวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้กองทุนนี้ ซึ่งมีผลตอบแทนและความเสี่ยงใกล้เคียงกันได้รับความนิยมมากขึ้น และทำให้ยอดการลงทุนรวมในกองทุนพันธบัตรเกาหลีของบริษัทสูงถึงกว่า 48,290.76 ล้านบาทแล้วในปัจจุบัน
“ยอดขายเกาหลีมันตื้อเหมือนกันในช่วงที่แบงก์ระดมเงินฝาก อย่าง 5 เดือนได้ 4% เขาก็ไปฝากกันหมด แต่มันก็มีลิมิตอย่างแคมเปญดอกเบี้ยสูงๆ ต้องฝาก 1 ล้าน หรือไม่เกิน 5 ล้าน เงินที่เหลือมันก็กลับมาอยู่ในกองนี้”นางสาวเอื้อพันธ์กล่าว
นางสาวเอื้อพันธ์ กล่าวอีกว่า การเปิดขายกองทุนพันธบัตรเกาหลีของบริษัทหลังจากนี้ คงจะต้องดูสถานการณ์ก่อน แต่เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจลงทุนในตราสารหนี้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามยังมีบ้างส่วนที่นำเงินมาลงทุนในกองทุนหุ้นบ้าง โดยเฉพาะกองทุนรวม LTF และ RMF
โดยกองทุนที่บริษัทจะเน้นทำการตลาดในขณะนี้ จะเป็นกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทใน เครือเซ็นทารา(CENTARA) มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 8-18 กันยายนนี้
“เราคงจะไม่ขายพร้อมๆ กันแต่คงจะรอให้กองเซ็นทารา ขายเสร็จก่อน แต่เชื่อว่ากองเกาหลียังน่าสนอยู่ เพราะสินค้าที่ใกล้เคียงเงินฝากยังไม่มีอะไรน่าสนกว่านี้ โดยECP เองผลตอบแทนมันยังอยู่ทีแค่ 3% กว่าๆเท่านั้น”นางสาวเอื้อพันธ์กล่าว
นางสาวเอื้อพันธ์ กล่าวอีกว่า นอกจากกองพันธบัตรเกาหลีแล้ว บริษัทยังเตรียมที่จะออกกองทุนตราสารหนี้จัดโครงสร้าง หรือ สตรักเจอร์โน้ต อีก 2-3 กองในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ โดยในช่วงต้นเดือนตุลาจะเป็นกองทุน เค หยวน ลิงค์ ซึ่งได้เลื่อนขายมาระยะหนึ่งแล้วในช่วงที่มีการระดมเงินฝากของธนาคาร ส่วนอีก 2 กองยังต้องพิจารณาก่อนว่าจะเป็นรูปแบบใด
สำหรับกองทุน เค หยวน ลิงค์ จะมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน รวมถึงตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Notes) ที่มีเงื่อนไขที่จะชำระเงินต้นคืนเต็มจำนวนในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ กองทุนมีนโยบายจะป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนของเงินต้นและผลตอบแทนขั้นต่ำทั้งจำนวน แต่อาจไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของผลตอบแทนขั้นสูง ดังนั้นผู้ลงทุนมีโอกาสอัตราผลตอบแทนของกองทุนจะอ้างอิงกับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินหยวนกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ ผลตอบแทนที่ได้จะคำนวณและตรวจสอบเดือนละครั้ง โดยหากค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ น้อยกว่า 9 เดือนจาก 12 เดือน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสุทธิขั้นต่ำประมาณ 1.50% แต่หากเงินหยวนแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ 9 เดือน จาก 12 เดือน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสุทธิขั้นสูงประมาณ 5.50% รับผลตอบขั้นสูงที่ผันแปรอัตราแลกเปลี่ยน
