เอเอฟพี/ รอยเตอร์ - จีนเตรียมพิจารณาอนุมัติงบประมาณจำนวน 54,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ พร้อมผลักดันมาตรการลดหย่อนด้านภาษี ในขณะที่เจพี มอร์แกนแนะให้ตั้งงบกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์กับตลาดอสังหาฯ
หนังสือพิมพ์ Economic Observer รายงานว่า งบประมาณที่จัดเตรียมเพื่ออัดฉีดในครั้งนี้มูลค่าทั้งสิ้น 3.7 แสนล้านหยวน (54,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยแบ่งเป็นงบประมาณการใช้จ่ายของรัฐจำนวน 2.2 แสนล้านหยวน และงบประมาณลดหย่อนภาษีจำนวน 1.5 แสนล้านหยวน ซึ่งขณะนี้ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ โดยแผนการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ หลังจากเศรษฐกิจชะลอตัว
ด้านกลุ่มเซ็นทรัล ไฟแนนเชียล ลีดดิ้ง กรุ๊ป ซึ่งประกอบไปด้วยคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงานรัฐบาลจีนหลายหน่วยได้ให้การสนับสนุนแผนการนี้ ซึ่งกระทรวงการคลังของจีนกำลังทำงานในรายละเอียดของแผนดังกล่าว และยังต้องรอการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรีจีนก่อน
ข้อมูลดังกล่าวตรงกับที่แฟรงค์ กง นักเศรษฐศาสตร์แห่งเจพี มอร์แกน เชสได้ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า รัฐบาลจีนกำลังเตรียมพิจารณางบประมาณเพื่อกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจจำนวน 4 แสนล้านหยวน ขณะที่ล่าสุดเมื่อวันอังคาร (27 ส.ค.) แฟรงค์ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นที่เซี่ยงไฮ้โดยระบุว่า "ก่อนหน้านี้ ผมเสนอว่าจีนควรจะใช้เงินประมาณ 2 แสนล้าน- 4 แสนล้านหยวนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าทางการจีนจะมีการผ่อนคลายนโยบายการคุมเข้มทางการเงินลง นอกจากนั้นภายในสิ้นปี ธนาคารกลางอาจจะมีการปรับลดเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ลงอีก 50 จุด เพราะหากรัฐบาลไม่ใช้มาตรการใดเข้าช่วยเหลือเลย เศรษฐกิจจีนจะต้องเผชิญหน้ากับการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจจะทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีตกลงเหลือไม่ถึง 9%""
นอกจากนั้นทางเจพี มอร์แกนยังได้เสนอว่า รัฐบาลมังกรควรจะดึงเงินจำนวน 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯออกมาจากทุนสำรองระหว่างประเทศมหาศาลของจีน เพื่อที่จะนำมาตั้งเป็นงบพิเศษในการใช้ในการสร้างเสถียรภาพในตลาดหลักทรัพย์
"การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของจีนในปีนี้ร่วงสะสมมากว่า 50% แต่สาเหตุนั้นไม่ได้มาจากปัจจัยมูลฐานทั้งหมด เพราะที่สำคัญอยู่ที่ความกังวลของผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์" แฟรงค์ระบุ
"สิ่งที่จีนควรจะทำนั้นมีตั้งแต่การลดภาษี การรักษาเสถียรภาพตลาดทุน และการสนับสนุนการพัฒนาอย่างเข้มแข็งของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตัวเลขที่เสนอไปนั้น ยังไม่รวมไปถึงเงินที่ต้องใช้ไปกับการก่อสร้างฟื้นฟูเขตประสบภัยพิบัติในเสฉวนอีกราว 500,000 ล้าน - 600,000 ล้านหยวน"
อย่างไรก็ตามฟ่าน เจี้ยนผิงนักวิเคราะห์จากศูนย์ข่าวสารจีนกลับระบุว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน และในช่วงครึ่งปีหลังนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง หรือควบคุมนโยบายมากนัก เพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีในด้านการค้าและการลงทุนของจีน
ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของจีดีพีจีนในครึ่งปีแรกของปีนี้ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 10.4 จากร้อยละ 11.9 ของจีดีพีรวมปีที่แล้ว ทำให้เกิดความกังวลว่าการส่งออกที่ซบเซาเนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอาจยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจจีน
หนังสือพิมพ์ Economic Observer รายงานว่า งบประมาณที่จัดเตรียมเพื่ออัดฉีดในครั้งนี้มูลค่าทั้งสิ้น 3.7 แสนล้านหยวน (54,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยแบ่งเป็นงบประมาณการใช้จ่ายของรัฐจำนวน 2.2 แสนล้านหยวน และงบประมาณลดหย่อนภาษีจำนวน 1.5 แสนล้านหยวน ซึ่งขณะนี้ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ โดยแผนการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ หลังจากเศรษฐกิจชะลอตัว
ด้านกลุ่มเซ็นทรัล ไฟแนนเชียล ลีดดิ้ง กรุ๊ป ซึ่งประกอบไปด้วยคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงานรัฐบาลจีนหลายหน่วยได้ให้การสนับสนุนแผนการนี้ ซึ่งกระทรวงการคลังของจีนกำลังทำงานในรายละเอียดของแผนดังกล่าว และยังต้องรอการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรีจีนก่อน
ข้อมูลดังกล่าวตรงกับที่แฟรงค์ กง นักเศรษฐศาสตร์แห่งเจพี มอร์แกน เชสได้ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า รัฐบาลจีนกำลังเตรียมพิจารณางบประมาณเพื่อกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจจำนวน 4 แสนล้านหยวน ขณะที่ล่าสุดเมื่อวันอังคาร (27 ส.ค.) แฟรงค์ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นที่เซี่ยงไฮ้โดยระบุว่า "ก่อนหน้านี้ ผมเสนอว่าจีนควรจะใช้เงินประมาณ 2 แสนล้าน- 4 แสนล้านหยวนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าทางการจีนจะมีการผ่อนคลายนโยบายการคุมเข้มทางการเงินลง นอกจากนั้นภายในสิ้นปี ธนาคารกลางอาจจะมีการปรับลดเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ลงอีก 50 จุด เพราะหากรัฐบาลไม่ใช้มาตรการใดเข้าช่วยเหลือเลย เศรษฐกิจจีนจะต้องเผชิญหน้ากับการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจจะทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีตกลงเหลือไม่ถึง 9%""
นอกจากนั้นทางเจพี มอร์แกนยังได้เสนอว่า รัฐบาลมังกรควรจะดึงเงินจำนวน 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯออกมาจากทุนสำรองระหว่างประเทศมหาศาลของจีน เพื่อที่จะนำมาตั้งเป็นงบพิเศษในการใช้ในการสร้างเสถียรภาพในตลาดหลักทรัพย์
"การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของจีนในปีนี้ร่วงสะสมมากว่า 50% แต่สาเหตุนั้นไม่ได้มาจากปัจจัยมูลฐานทั้งหมด เพราะที่สำคัญอยู่ที่ความกังวลของผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์" แฟรงค์ระบุ
"สิ่งที่จีนควรจะทำนั้นมีตั้งแต่การลดภาษี การรักษาเสถียรภาพตลาดทุน และการสนับสนุนการพัฒนาอย่างเข้มแข็งของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตัวเลขที่เสนอไปนั้น ยังไม่รวมไปถึงเงินที่ต้องใช้ไปกับการก่อสร้างฟื้นฟูเขตประสบภัยพิบัติในเสฉวนอีกราว 500,000 ล้าน - 600,000 ล้านหยวน"
อย่างไรก็ตามฟ่าน เจี้ยนผิงนักวิเคราะห์จากศูนย์ข่าวสารจีนกลับระบุว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน และในช่วงครึ่งปีหลังนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง หรือควบคุมนโยบายมากนัก เพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีในด้านการค้าและการลงทุนของจีน
ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของจีดีพีจีนในครึ่งปีแรกของปีนี้ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 10.4 จากร้อยละ 11.9 ของจีดีพีรวมปีที่แล้ว ทำให้เกิดความกังวลว่าการส่งออกที่ซบเซาเนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอาจยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจจีน