เอเอฟพี – การที่จีนกำลังเริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้ว ถือเป็นข่าวดีสำหรับประเทศในเอเชีย ทว่าแดนมังกรก็ยังไม่มีพลังมากพอที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมกระเตื้องขึ้นได้ ทั้งนี้เป็นความเห็นของพวกนักวิเคราะห์
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีการเผยแพร่ข้อมูลว่าจีนอาจเป็นประเทศแรกที่จะสามารถพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกระลอกนี้ได้ อีกทั้งจะเป็นตัวผลักดันให้ประเทศคู่ค้าอีกหลายประเทศมีการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปได้ด้วย
“ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรซ์เรื่องหนึ่งในรอบสองเดือนที่ผ่านมา” เกล็น แมคไกวร์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารโซซิเยเต้ เจเนราล สาขาฮ่องกง ให้ความเห็น
“ประเทศผู้ส่งออกทั้งสินค้าประเภททุนและสินค้าโภคภัณฑ์ไปยังจีน ต่างก็เริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น”
ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี(16) ที่ผ่านมา ทำให้เห๋ยภาพทางเศรษฐกิจอันสลับซับซ้อน โดยขณะที่เกิดชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง แต่ก็มีสัญญาณบ่งชี้ด้วยว่าจีนกำลังจะฟื้นตัวแล้ว
ทั้งนี้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของจีนประจำไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 6.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับตำที่สุดในรอบเกือบยี่สิบปี แต่ทว่าการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ตามเมืองใหญ่ทั้งหลายกลับเพิ่มขึ้นถึงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมีนาคม
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการใช้จ่ายภาครัฐของจีนอย่างมโหฬาร โดย รัฐบาลได้ออกมาตรการการใช้จ่ายดังกล่าวทันทีที่เกิดวิกฤตการณ์การเงินโลกขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จนมาส่งผลดีต่อพวกผู้ส่งออกรายใหญ่ไปยังตลาดจีนอยู่ในขณะนี้
“บทบาทและอิทธิพลของจีนต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่อิทธิพลของสหรัฐฯ นั้นลดลงอย่างชัดเจน” ลีมูนฮยุง นักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันเพื่อเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมและการค้าแห่งเกาหลีกล่าว
ขณะที่รายงานของมอร์แกน สแตนเลย์เมื่อเร็วๆ นี้ยังระบุด้วยว่าประเทศในภูมิภาคแถบเอเชีย ต่างก็เร่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ก้อนโตจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย เวียดนาม หรือเกาหลีใต้
ลียืนยันว่ามีสัญญาณบ่งบอกในทางที่ดีอยู่หลายประการ และแม้ว่ายอดการส่งออกของเกาหลีใต้ไปยังจีนจะลดลง 22.2 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมีนาคมเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว แต่ “ผู้ผลิตแผ่นซีดี ชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ด้านปิโตรเคมี ต่างก็กำลังได้รับอานิสงส์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าสี่ล้านล้านหยวน รวมทั้งนโยบายที่มุ่งกระตุ้นปริมาณความต้องการภายในประเทศของจีน”
นอกจากนั้นยังมีรายงานสถิติจากจีนระบุด้วยว่า จีนนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตัวในช่วงสองเดือนแรกของปี 2009 เมื่อเปรียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ทว่าพวกนักเศรษฐศาสตร์ก็มองว่า การฟื้นตัวของจีนจะยังไม่ส่งผลกระทบในวงกว้างไปถึงตลาดในยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะต่อผู้ส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค ดังที่แมคไกวร์ชี้ว่า “เพราะแม้รายได้ของชนบทเพิ่มขึ้นราว 8 เปอร์เซ็นต์ แต่ชาวนาจีนโดยทั่วไปจะไม่รีบเอาเงินไปซื้อรถบีเอ็มดับเบิลยูคันใหม่กันหรอก”
นักวิเคราะห์บางคนถึงกับมองว่า ถึงแม้วิกฤตเศรษฐกิจโลกคราวนี้จะรุนแรงถึงขั้นทำให้คนช็อกไปตามๆ กัน อีกทั้งดูเหมือนจะทำให้โลกหมุนกลับ ทว่าจริงๆ แล้วแบบแผนพื้นฐานของการค้าก็ยังคงเป็นอย่างเดิม อย่างน้อยก็แนวโน้มในอนาคตอันใกล้
ฮิโรชิ วาตานาเบ นักเศรษฐศาสต์แห่งสถาบันวิจัยไดวาบอกว่า “เราคงคาดหวังไม่ได้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะผลักดันให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัว เพราะสภาพภูมิทัศน์ทางอุตสาหกรรมโลก ซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นผู้บริโภครายใหญ่ และจีนเป็นโรงงานผลิต ส่วนญี่ปุ่นเป็นซัปพลายเออร์ชิ้นส่วนประกอบต่างๆ คงจะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปในเร็ววัน”
กระนั้นก็ตาม เวลานี้จีนก็กำลังกลายเป็นปัจจัยในการสร้างความเจริญเติบโต ที่สำคัญใหญ่โตยิ่งกว่าภายหลังวิกฤตทางการเงินเอเชียเมื่อสิบปีก่อน และอิทธิพลของแดนมังกรก็น่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
หวังฉิง นักเศรษฐศาสตร์ในฮ่องกงของมอร์แกน สแตนเลย์ก็บอกว่า “จีนอาจจะสามารถกลายเป็นเครื่องจักรสร้างความเจริญเติบโตให้แก่เศรษฐกิจโลกได้”
“มันยังไม่ใช่ในทุกๆ รอบของเศรษฐกิจหรอกนะ แต่เมื่อมองกันในระยะยาว ก็พูดได้อย่างกว้างๆ ว่า มีความเป็นไปได้ที่จีนจะกลายเป็นเครื่องจักรแห่งการสร้างความเจริญเติบโต”
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีการเผยแพร่ข้อมูลว่าจีนอาจเป็นประเทศแรกที่จะสามารถพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกระลอกนี้ได้ อีกทั้งจะเป็นตัวผลักดันให้ประเทศคู่ค้าอีกหลายประเทศมีการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปได้ด้วย
“ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรซ์เรื่องหนึ่งในรอบสองเดือนที่ผ่านมา” เกล็น แมคไกวร์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารโซซิเยเต้ เจเนราล สาขาฮ่องกง ให้ความเห็น
“ประเทศผู้ส่งออกทั้งสินค้าประเภททุนและสินค้าโภคภัณฑ์ไปยังจีน ต่างก็เริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น”
ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี(16) ที่ผ่านมา ทำให้เห๋ยภาพทางเศรษฐกิจอันสลับซับซ้อน โดยขณะที่เกิดชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง แต่ก็มีสัญญาณบ่งชี้ด้วยว่าจีนกำลังจะฟื้นตัวแล้ว
ทั้งนี้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของจีนประจำไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 6.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับตำที่สุดในรอบเกือบยี่สิบปี แต่ทว่าการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ตามเมืองใหญ่ทั้งหลายกลับเพิ่มขึ้นถึงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมีนาคม
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการใช้จ่ายภาครัฐของจีนอย่างมโหฬาร โดย รัฐบาลได้ออกมาตรการการใช้จ่ายดังกล่าวทันทีที่เกิดวิกฤตการณ์การเงินโลกขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จนมาส่งผลดีต่อพวกผู้ส่งออกรายใหญ่ไปยังตลาดจีนอยู่ในขณะนี้
“บทบาทและอิทธิพลของจีนต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่อิทธิพลของสหรัฐฯ นั้นลดลงอย่างชัดเจน” ลีมูนฮยุง นักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันเพื่อเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมและการค้าแห่งเกาหลีกล่าว
ขณะที่รายงานของมอร์แกน สแตนเลย์เมื่อเร็วๆ นี้ยังระบุด้วยว่าประเทศในภูมิภาคแถบเอเชีย ต่างก็เร่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ก้อนโตจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย เวียดนาม หรือเกาหลีใต้
ลียืนยันว่ามีสัญญาณบ่งบอกในทางที่ดีอยู่หลายประการ และแม้ว่ายอดการส่งออกของเกาหลีใต้ไปยังจีนจะลดลง 22.2 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมีนาคมเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว แต่ “ผู้ผลิตแผ่นซีดี ชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ด้านปิโตรเคมี ต่างก็กำลังได้รับอานิสงส์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าสี่ล้านล้านหยวน รวมทั้งนโยบายที่มุ่งกระตุ้นปริมาณความต้องการภายในประเทศของจีน”
นอกจากนั้นยังมีรายงานสถิติจากจีนระบุด้วยว่า จีนนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตัวในช่วงสองเดือนแรกของปี 2009 เมื่อเปรียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ทว่าพวกนักเศรษฐศาสตร์ก็มองว่า การฟื้นตัวของจีนจะยังไม่ส่งผลกระทบในวงกว้างไปถึงตลาดในยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะต่อผู้ส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค ดังที่แมคไกวร์ชี้ว่า “เพราะแม้รายได้ของชนบทเพิ่มขึ้นราว 8 เปอร์เซ็นต์ แต่ชาวนาจีนโดยทั่วไปจะไม่รีบเอาเงินไปซื้อรถบีเอ็มดับเบิลยูคันใหม่กันหรอก”
นักวิเคราะห์บางคนถึงกับมองว่า ถึงแม้วิกฤตเศรษฐกิจโลกคราวนี้จะรุนแรงถึงขั้นทำให้คนช็อกไปตามๆ กัน อีกทั้งดูเหมือนจะทำให้โลกหมุนกลับ ทว่าจริงๆ แล้วแบบแผนพื้นฐานของการค้าก็ยังคงเป็นอย่างเดิม อย่างน้อยก็แนวโน้มในอนาคตอันใกล้
ฮิโรชิ วาตานาเบ นักเศรษฐศาสต์แห่งสถาบันวิจัยไดวาบอกว่า “เราคงคาดหวังไม่ได้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะผลักดันให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัว เพราะสภาพภูมิทัศน์ทางอุตสาหกรรมโลก ซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นผู้บริโภครายใหญ่ และจีนเป็นโรงงานผลิต ส่วนญี่ปุ่นเป็นซัปพลายเออร์ชิ้นส่วนประกอบต่างๆ คงจะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปในเร็ววัน”
กระนั้นก็ตาม เวลานี้จีนก็กำลังกลายเป็นปัจจัยในการสร้างความเจริญเติบโต ที่สำคัญใหญ่โตยิ่งกว่าภายหลังวิกฤตทางการเงินเอเชียเมื่อสิบปีก่อน และอิทธิพลของแดนมังกรก็น่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
หวังฉิง นักเศรษฐศาสตร์ในฮ่องกงของมอร์แกน สแตนเลย์ก็บอกว่า “จีนอาจจะสามารถกลายเป็นเครื่องจักรสร้างความเจริญเติบโตให้แก่เศรษฐกิจโลกได้”
“มันยังไม่ใช่ในทุกๆ รอบของเศรษฐกิจหรอกนะ แต่เมื่อมองกันในระยะยาว ก็พูดได้อย่างกว้างๆ ว่า มีความเป็นไปได้ที่จีนจะกลายเป็นเครื่องจักรแห่งการสร้างความเจริญเติบโต”