xs
xsm
sm
md
lg

กูรูชี้คอมมอดิตีโตเทียบหุ้น-บอนด์MFCจับจังหวะตั้งFIFซื้อออปชั่นอิงดัชนีRICI

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“จิม โรเจอร์” มองแนวโน้มสินค้าโภคภัณฑ์น่าลงทุนระยะยาว ชี้อนาคตเติบโตเทียบตลาดหุ้น-ตราสารหนี้ ด้านเอ็มเอฟซี ขานรับ ตั้งกองทุนเอฟไอเอฟ ลงทุนตราสารหนี้สกุลออสซี่ พร้อมซื้อออปชั่นเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน โดยอ้างอิงดัชนี RICI ที่เน้นลงทุนคอมมอดิตี 3 กลุ่มหลัก หวังจับจังหวะลงทุนช่วงราคาปรับตัว ไอพีโอ 21 ส.ค.-8 ก.ย. นี้

นายจิม โรเจอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) กล่าวว่า การลงทุนในสินค้าคอมมอดิตีในขณะนี้ เปรียบเสมือนกับการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้เมื่อช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงนั้น นักลงทุนหลายคนเองยังไม่รู้จักการลงทุนในตราสารเหล่านี้ เช่นเดียวกับคอมมอดิตีในปัจจุบัน ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นแอสเซทคลาสที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น

โดยสาเหตุสำคัญ เนื่องจากซัพพลายที่มีอยู่ในปัจจุบันมีจำนวนจำกัด โดยเฉพาะพลังงาน ในขณะเดียวกันหากดูความต้องการแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด ทำให้เชื่อว่าการลงทุนประเภทนี้น่าสนใจในระยะยาว ซึ่งในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในสินค้าคอมมอดิตีเองก็ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง

ส่วนแนวโน้มราคาสินค้าคอมมอดิตีหลังจากนี้ นายจิมกล่าวว่า ไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่เชื่อว่าในระยะยาวน่าจะขยับขึ้นไปได้อีก ทั้งนี้ หากจะลงทุนแนะนำให้ลงทุนในสินค้าคอมมอดิตีโดยตรงมากกว่าการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสินค้าคอมมอดิตี เนื่องจากการลงทุนโดยตรงจะไม่มีปัจจัยอื่นมากระทบต่อราคา ในขณะที่การลงทุนในหุ้น หากบริษัทนั้นไม่ดี หรือมีปัจจัยอื่นๆ มากระทบตลาด ก็จะส่งผลต่อราคาด้วย

นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับตลาดคอมมอดิตีในประเทศไทย ที่ผ่านมาค่อยๆ เติบโตขึ้น ซึ่งไทยเองเป็นผู้ส่งออกสินค้าหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ยางพารา มันสัมปะหลัง ซึ่งหากรัฐมีการสนับสนุนมากขึ้น ก็เชื่อว่าในอนาคตตลาดสินค้าคอมมอดิตีในประเทศจะเติบโตมากขึ้น และเป็นโอกาสการลงทุนอีกช่องทางหนึ่งด้วย

ล่าสุด บริษัทได้เปิดขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นฮานซ์ ฟันด์ หรือ I-ENHANCED กองทุนต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่เน้นลงทุนในตราสารทางการเงินในต่างประเทศส่วนหนึ่ง และลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในรูปของ Option โดยมีตัวแปรอ้างอิงเป็นดัชนี RICI Enhanced Excess Return Index ซึ่งเป็นดัชนีของราคาซื้อขายล่วงหน้าของกลุ่มสินค้าคอมมอดิตี 3 กลุ่มหลัก ทั้งพลังงาน สินค้าเกษตร และโลหะมีค่า โดยดัชนีดังกล่าวตั้งขึ้นโดย จิม โรเจอร์ โดยจะเปิดขายกองทุนในระหว่างวันที่ 21 สิงหาคม – 8 กันยายนนี้

นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สายบริหารกองทุน บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า กองทุนดังกล่าวจะลงทุนในตราสารทางการเงินในสกุลออสเตรเลียดอลลาร์ ซึ่งในส่วนนี้กองทุนจะลงทุนประเทศ 94% ของพอร์ตการลงทุน โดยจะคุ้มครองเงินต้นในสกุลออสเตรเลีย 100% ส่วนที่เหลืออีก 6% จะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่างหน้าโดยมีตัวแปรอ้างอิงเป็นดัชนี RICI Enhanced Excess Return Index ซึ่งผลตอบแทนของกองทุนจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของดัชนีดังกล่าว

“เรามองว่าในช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุนในสินค้าคอมมอดิตี เนื่องจากราคาได้ปรับลดลงมาจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้นไปเกินจริงในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งหากจะดูราคาของน้ำมันที่ปรับลดลงมาจากราคาสูงสุดที่ 147 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นการปรับลดลงถึง 30% ดังนั้น หากราคาน้ำมันปรับขึ้นไประดับเดิมก็มีโอกาสที่กองทุนจะได้ผลตอบแทนสูงขึ้น ซึ่งในช่วงนี้ แนวโน้มการปรับลดลงมีค่อนข้างน้อย และจะเริ่มเห็นการปรับขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ที่ปกติแล้วจะมีการใช้พลังงานสูงทั่วโลก”นายศุภกรกล่าว

สำหรับกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นฮานซ์ ฟันด์ มีฮายุโครงการประมาณ 1 ปี 6 เดือน ซึ่งโอกาสที่กองทุนจะให้ผลตอบแทนมีตั้งแต่ 0% ไปจนถึง 28% ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดัชนี RICI Enhanced Excess Return Index ให้ผลตอบแทนประมาณ 14.3% ในขณะที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 41%

**คงเป้าเอยูเอ็ม2.4แสนล้าน**

นายพิชิตกล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทคาดว่าจะมีกองทุนที่มีลักษณะพิเศษออกมาอีกประมาณ 4-5 กองทุน ซึ่งรวมถึงกองทุนต่างประเทศออกที่จะมาอีกประมาณ 3 กองทุน และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วย นอกเหนือจากนั้น ก็จะเป็นกองทุนตราสารหนี้ทั่วไปตามความต้องการของลูกค้า

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่การลงทุนค่อนข้างผันผวนทั้งในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ บริษัทยังไม่มีการปรับเป้าหมายการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) แต่อย่างใด โดยยังคงเป้าหมายเดิมไว้ที่ 2.4 แสนล้านบาท จากต้นปีที่มีสินทรัพย์อยู่ประมาณ 2.2 แสนล้านบาท ซึ่งในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 2.3 แสนล้านบาทแล้ว และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีจะสามารถเติบโตได้ตามเป้า
กำลังโหลดความคิดเห็น