บลจ.กรุงไทยออกกองบอนด์ใหม่ 3 กอง "กรุงไทยตราสารต่างประเทศ 6 เดือน 13 - กรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงิน 53 - กรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้น 3 เดือน 39 " จับลูกค้าไม่ชอบความเสี่ยง คาดการณ์ผลตอบแทน 4.30% - 3.50% - 3.60% ตามลำดับ ไอพีโอพร้อมกัน 6-13 ส.ค.นี้
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในระหว่างวันที่ 6-13 สิงหาคม 2551 บริษัทจะเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศอีกจำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมกรุงไทยตราสารต่างประเทศ 6 เดือน 13 (KTFIF6M13) , กองทุนรวมกรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงิน 53( KTCP53) และกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้น3เดือน39 (KTST3M39)
โดยกองทุนรวมกรุงไทยตราสารต่างประเทศ 6 เดือน 13 มีอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 3,100 ล้านบาท โดยเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ประเภทตราสารการเงิน ของสถาบันการเงินต่างประเทศ (Euro Commercial Paper : ECP) ของสถาบันการเงินชั้นนำที่มีอันดับความเชื่อถือระยะสั้น 2 อันดับแรกขึ้นไป ซึ่งในเบื้องต้นจะเน้นลงทุนในตราสารที่ออกโดยสถาบันการเงินในเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ยุโรป หรือเอเชียประเทศอื่นๆ คาดการณ์ผลตอบแทนของตราสารอยู่ที่ประมาณ 4.30%ต่อปี (ยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน)
ขณะที่กองทุนรวมกรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงิน 53 มีอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารที่ก่อให้เกิดการคุ้มครองเงินต้น ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือบัตรเงินฝาก ที่บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เป็นผู้ออกเพื่อการกู้ยืมหรือรับเงินจากประชาชน เงินฝากในธนาคารพาณิชย์หรือบัตรเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก คาดผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 3.50%ต่อปี (ยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน)
ส่วนกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้น 3 เดือน 39 มีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ได้แก่ ตราสารแห่งหนี้ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก ตราสารหนี้ทั่วไป เงินฝากในสถาบันการเงิน โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาคสถาบันการเงิน คาดผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 3.60%ต่อปี(ยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของกองทุน)
สำหรับภาวะตราสารหนี้ในประเทศสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น นายสมชัย กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ได้ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ประมาณ 19-35 bp. ส่วนพันธบัตรอายุน้อยกว่า 1 ปี อัตราผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้น 0-4 bp ขณะที่อัตราผลตอบแทนที่มีการปรับตัวลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลง ทำให้ความวิตกเรื่องเงินเฟ้อลดลง ประกอบกับนักลงทุนคาดว่า 6 มาตรการ 6 เดือนฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทยของรัฐบาล อาจจะทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อของไทยไม่ถึง 2 หลัก ทำให้มีแรงซื้อพันธบัตรเข้ามามากจนอัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ มีโอกาสได้รับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ซึ่งปัจจุบันเงินฝากประจำ 3 เดือนอยู่ที่ 2.375% ต่อปีและเงินฝากประจำ6 เดือนอยู่ที่ 2.50% ต่อปีก่อนหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 15%