พัฒนชัย พูลเอี่ยม
บลจ.บัวหลวง จำกัด
ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรง และรวดเร็วกว่าในอดีตที่ผ่านมาในทุกๆด้าน ประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบนี้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านภัยธรรมชาติ อุทกภัย วาตภัย ธรณีพิบัติ หรือภัยพิบัติธรรมชาติอื่น ซึ่งล้วนเกิดด้วยความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น ความถี่ที่บ่อยขึ้น ซึ่งเราในฐานะมวลมนุษยชาติเริ่มตระหนักถึงสาเหตุของการเกิดขึ้นและเตรียมตัวที่จะป้องกัน พยามแก้ไขในเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้
สำหรับทางด้านภาวะเศรษฐกิจการลงทุน ก็เช่นเดียวกัน ได้มีการเกิดเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ในประเทศต่างๆ ซึ่งความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศนั้นๆ ได้ส่งผลกระทบไปยัง ทวีปต่างๆ ประเทศต่างๆทั่วโลก เหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับเรามากในช่วงนี้ ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่ทราบว่าจะหยุดเพิ่มขึ้นเมื่อใด และถึงแม้ทางการจะได้มีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตแล้วก็ตาม
แม้ว่าราคาน้ำมันในปัจจุบันจะเริ่มลดลง แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่า ราคาน้ำมันจะไม่หวนคืนกลับมาแพงจนเป็นต้นเหตุให้ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมอีก แน่นอนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นย่อมส่งผลถึงราคาสินค้าอุปโภค บริโภค และสินค้าอื่นๆจะต้องปรับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างแน่นอน ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของเดือนมิถุนายน 2551 เมื่อเทียบกับ เดือนมิถุนายน 2550 สูงขึ้นร้อยละ 8.9 นั้นหมายถึง รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ยังเท่าเดิมแต่จะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อสิ้นค้าชนิดเดิมในราคาที่สูงขึ้น ส่งผลให้การดำรงชีวิตในปัจจุบันและอนาคตของประชาชนอย่างเราจะต้องมีการวางแผนในเรื่องการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การออมและการลงทุนมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ปัจจุบันสำหรับการวางแผนการบริหารเงินออมหรือการลงทุนทั่วไป สิ่งสำคัญที่ผู้ลงทุนควรจะต้องทำ คือ 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของการออมเงิน ซึ่งของแต่ละท่านจะแตกต่างกันไป อาทิเช่น บางท่านต้องการเอาชนะเงินเฟ้อมากๆ บางท่านต้องการให้เงินต้นปลอดภัย บางท่านต้องการผลตอบแทนประมาณ 8% ต่อปี บางท่านต้องการออมเพื่อเกษียณอายุ ในขณะที่ต้องการออมเพื่อเป็นทุนการศึกษา 2.ข้อจำกัดการลงทุน ซึ่งของแต่ละท่านก็จะแตกต่างกันไปเช่นเดียวกัน อาทิเช่น ต้องการใช้เงินในอีก 6 เดือนข้างหน้า ไม่ลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเเละ3 การยอมรับความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรจะต้องทราบและเข้าใจความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนของตราสารทางการเงินที่ลงทุนนั้น ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงน้อยเพียงใด
สำหรับการบริหารเงินออมในช่วงที่เงินเฟ้อค่อนข้างสูงนี้ การจัดสรรเงินลงทุนเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนทุกท่านควรจะจัดทำ การจัดสรรเงินลงทุนที่ว่า นั้นคือ การกำหนดสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) อาทิเช่น
ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันสิ่งที่ผู้ลงทุนควรจะมีการทำคือ ทบทวนการกำหนดสัดส่วนการลงทุน(Rebalance) ที่เคยกำหนดเอาไว้ ว่าเหมาะสมกับ สภาวะในปัจจุบัน สัดส่วนการลงทุนดังกล่าวยังเหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุน ข้อจำกัดการลงทุน ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังที่ได้กำหนดเอาไว้ในตอนต้นหรือไม่ หรือเมื่อเวลาเปลี่ยนไป ผู้ลงทุนได้มีการเปลี่ยนแปลง ในเรื่องของ วัตถุประสงค์การลงทุน ข้อจำกัดการลงทุน ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง ซึ่งการทบทวนดังกล่าวมีข้อดีคือจะทำให้ผู้ลงทุนทราบและเข้าใจอย่างสม่ำเสมอว่า พอร์ตการออมหรือการลงทุนของผู้ลงทุนนั้นเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน ความเสี่ยง อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง หรือสภาพคล่อง ผู้ลงทุนสามารถที่จะประมาณการณ์ได้ว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น จะส่งผลกระทบกับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ทั้งนี้หากผู้ลงทุนได้มีแผนหรือการเตรียมการไว้รับมือบ้าง จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถบริหารพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
บลจ.บัวหลวง จำกัด
ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรง และรวดเร็วกว่าในอดีตที่ผ่านมาในทุกๆด้าน ประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบนี้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านภัยธรรมชาติ อุทกภัย วาตภัย ธรณีพิบัติ หรือภัยพิบัติธรรมชาติอื่น ซึ่งล้วนเกิดด้วยความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น ความถี่ที่บ่อยขึ้น ซึ่งเราในฐานะมวลมนุษยชาติเริ่มตระหนักถึงสาเหตุของการเกิดขึ้นและเตรียมตัวที่จะป้องกัน พยามแก้ไขในเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้
สำหรับทางด้านภาวะเศรษฐกิจการลงทุน ก็เช่นเดียวกัน ได้มีการเกิดเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ในประเทศต่างๆ ซึ่งความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศนั้นๆ ได้ส่งผลกระทบไปยัง ทวีปต่างๆ ประเทศต่างๆทั่วโลก เหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับเรามากในช่วงนี้ ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่ทราบว่าจะหยุดเพิ่มขึ้นเมื่อใด และถึงแม้ทางการจะได้มีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตแล้วก็ตาม
แม้ว่าราคาน้ำมันในปัจจุบันจะเริ่มลดลง แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่า ราคาน้ำมันจะไม่หวนคืนกลับมาแพงจนเป็นต้นเหตุให้ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมอีก แน่นอนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นย่อมส่งผลถึงราคาสินค้าอุปโภค บริโภค และสินค้าอื่นๆจะต้องปรับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างแน่นอน ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของเดือนมิถุนายน 2551 เมื่อเทียบกับ เดือนมิถุนายน 2550 สูงขึ้นร้อยละ 8.9 นั้นหมายถึง รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ยังเท่าเดิมแต่จะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อสิ้นค้าชนิดเดิมในราคาที่สูงขึ้น ส่งผลให้การดำรงชีวิตในปัจจุบันและอนาคตของประชาชนอย่างเราจะต้องมีการวางแผนในเรื่องการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การออมและการลงทุนมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ปัจจุบันสำหรับการวางแผนการบริหารเงินออมหรือการลงทุนทั่วไป สิ่งสำคัญที่ผู้ลงทุนควรจะต้องทำ คือ 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของการออมเงิน ซึ่งของแต่ละท่านจะแตกต่างกันไป อาทิเช่น บางท่านต้องการเอาชนะเงินเฟ้อมากๆ บางท่านต้องการให้เงินต้นปลอดภัย บางท่านต้องการผลตอบแทนประมาณ 8% ต่อปี บางท่านต้องการออมเพื่อเกษียณอายุ ในขณะที่ต้องการออมเพื่อเป็นทุนการศึกษา 2.ข้อจำกัดการลงทุน ซึ่งของแต่ละท่านก็จะแตกต่างกันไปเช่นเดียวกัน อาทิเช่น ต้องการใช้เงินในอีก 6 เดือนข้างหน้า ไม่ลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเเละ3 การยอมรับความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรจะต้องทราบและเข้าใจความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนของตราสารทางการเงินที่ลงทุนนั้น ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงน้อยเพียงใด
สำหรับการบริหารเงินออมในช่วงที่เงินเฟ้อค่อนข้างสูงนี้ การจัดสรรเงินลงทุนเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนทุกท่านควรจะจัดทำ การจัดสรรเงินลงทุนที่ว่า นั้นคือ การกำหนดสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) อาทิเช่น
ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันสิ่งที่ผู้ลงทุนควรจะมีการทำคือ ทบทวนการกำหนดสัดส่วนการลงทุน(Rebalance) ที่เคยกำหนดเอาไว้ ว่าเหมาะสมกับ สภาวะในปัจจุบัน สัดส่วนการลงทุนดังกล่าวยังเหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุน ข้อจำกัดการลงทุน ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังที่ได้กำหนดเอาไว้ในตอนต้นหรือไม่ หรือเมื่อเวลาเปลี่ยนไป ผู้ลงทุนได้มีการเปลี่ยนแปลง ในเรื่องของ วัตถุประสงค์การลงทุน ข้อจำกัดการลงทุน ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง ซึ่งการทบทวนดังกล่าวมีข้อดีคือจะทำให้ผู้ลงทุนทราบและเข้าใจอย่างสม่ำเสมอว่า พอร์ตการออมหรือการลงทุนของผู้ลงทุนนั้นเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน ความเสี่ยง อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง หรือสภาพคล่อง ผู้ลงทุนสามารถที่จะประมาณการณ์ได้ว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น จะส่งผลกระทบกับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ทั้งนี้หากผู้ลงทุนได้มีแผนหรือการเตรียมการไว้รับมือบ้าง จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถบริหารพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
