กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 ขอขยายเวลาลงมติเพิ่มทุนอีกเป็นรอบที่ 2 เป็น 13 สิงหาคมนี้ ระบุต้องการให้ผู้ถือหน่วยมีเวลาพิจารณามากขึ้น หลังเจรจาเพิ่มเติมกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จนลดราคาลงทุนในโรงงาน 18 โรงที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังได้กว่า 20.72 ล้านบาท
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 (TIF1) เปิดเผยว่า หลังจากที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 ได้มีการขอมติผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อพิจารณาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม ซึ่งต่อมาได้มีการแจ้งขอขยายเวลาการลงมติออกไปนั้น บริษัทในฐานะบริษัทจัดการขอขยายระยะเวลาการลงมติของผู้ถือหน่วยลงทุนออกไปอีกครั้งหนึ่งจนถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2551 และกำหนดแจ้งสรุปผลมติผู้ถือหน่วยลงทุนให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทราบภายในวันที่14 สิงหาคม 2551
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนมีเวลาเพิ่มเติมในการพิจารณาเพื่อลงมติ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทจัดการได้เจรจาเพิ่มเติมกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนจะลงทุนเพื่อกำหนดเงื่อนไขการลงทุนให้ดีขึ้น โดยราคาที่จะลงทุนในโรงงานจำนวน 18 โรง ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังจะลดลงจาก 315.72 ล้านบาท เหลือ 295 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลงประมาณ 20.72 ล้านบาท
สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 ได้มีการขอมติผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม , การเพิ่มจำนวนเงินทุนของกองทุนรวม , การจัดสรรหน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขาย และการดำเนินการให้หน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการแก้ไขเพิ่มเติมโครงการจัดการลงทุนของกองทุนรวม ซึ่งกำหนดให้ผู้ถือหน่วยลงมติกลับมาภายในวันที่ 27 มิถุนายน 2551 แต่ต่อมาได้มีการแจ้งขอขยายระยะเวลาการลงมติและเลื่อนการสรุปผลมติผู้ถือหน่วยลงทุนออกไปเป็นวันที่ 31 กรกฎาคม 2551
ขณะที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 ได้ประกาศมูลค่าหน่วยลงทุน ประจำวันที่ 30 มิถุนายน 2551 โดยกองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 974,069,425.42 บาท และมีมูลค่าหน่วยลงทุน 10.8229 บาท
ก่อนหน้านี้ นายมาริษ เปิดเผยว่า TIF1 ได้มีการขอมติผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อพิจารณาเรื่องการเพิ่มจำนวนเงินทุนของกองทุนรวมอีกจำนวนไม่เกิน 365 ล้านบาท จากมูลค่าเงินทุนของกองทุนรวมเดิมจำนวน 900 ล้านบาท เป็นเงินทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 1,265 ล้านบาท ด้วยการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 36.50 ล้านหน่วย มูลค่าหน่วยละ 10 บาท
โดยบริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานอุตสาหกรรมมาตรฐาน และ/หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในโครงการ ซึ่งสินทรัพย์ที่กองทุนจะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม ประกอบด้วยการซื้อที่ดินและอาคารโรงงาน จำนวน 2 โรง ซึ่งตั้งอยู่ที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และการรับโอนสิทธิการเช่าที่ดินและซื้ออาคารโรงงาน จำนวน 18 โรง ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของบริษัทไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิล อินดัสเตรียล เซอร์วิสเซส จำกัด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 363 ล้านบาท
"การเพิ่มทุนครั้งนี้เพื่อให้กองทุนมีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้กองทุนสามารถจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวได้เพิ่มมากขึ้น และเป็นการกระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนั้นการที่กองทุนรวมมีจำนวนหน่วยลงทุนเพิ่มมากขึ้นจะทำให้หน่วยลงทุนมีสภาพคล่องมากขึ้นสำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" นายมาริษกล่าว
ขณะเดียวกันการจัดสรรหน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 36.50 ล้านหน่วยนั้น บริษัทจัดการจะเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมในสัดส่วน 1 หน่วยลงทุนเดิม ต่อไม่เกิน 0.41 หน่วยลงทุนใหม่ ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมซึ่งมีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน (Right Offering) ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมสามารถจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่เกินกว่าสิทธิของตนได้
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 (TIF1) เปิดเผยว่า หลังจากที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 ได้มีการขอมติผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อพิจารณาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม ซึ่งต่อมาได้มีการแจ้งขอขยายเวลาการลงมติออกไปนั้น บริษัทในฐานะบริษัทจัดการขอขยายระยะเวลาการลงมติของผู้ถือหน่วยลงทุนออกไปอีกครั้งหนึ่งจนถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2551 และกำหนดแจ้งสรุปผลมติผู้ถือหน่วยลงทุนให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทราบภายในวันที่14 สิงหาคม 2551
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนมีเวลาเพิ่มเติมในการพิจารณาเพื่อลงมติ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทจัดการได้เจรจาเพิ่มเติมกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนจะลงทุนเพื่อกำหนดเงื่อนไขการลงทุนให้ดีขึ้น โดยราคาที่จะลงทุนในโรงงานจำนวน 18 โรง ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังจะลดลงจาก 315.72 ล้านบาท เหลือ 295 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลงประมาณ 20.72 ล้านบาท
สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 ได้มีการขอมติผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม , การเพิ่มจำนวนเงินทุนของกองทุนรวม , การจัดสรรหน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขาย และการดำเนินการให้หน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการแก้ไขเพิ่มเติมโครงการจัดการลงทุนของกองทุนรวม ซึ่งกำหนดให้ผู้ถือหน่วยลงมติกลับมาภายในวันที่ 27 มิถุนายน 2551 แต่ต่อมาได้มีการแจ้งขอขยายระยะเวลาการลงมติและเลื่อนการสรุปผลมติผู้ถือหน่วยลงทุนออกไปเป็นวันที่ 31 กรกฎาคม 2551
ขณะที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 ได้ประกาศมูลค่าหน่วยลงทุน ประจำวันที่ 30 มิถุนายน 2551 โดยกองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 974,069,425.42 บาท และมีมูลค่าหน่วยลงทุน 10.8229 บาท
ก่อนหน้านี้ นายมาริษ เปิดเผยว่า TIF1 ได้มีการขอมติผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อพิจารณาเรื่องการเพิ่มจำนวนเงินทุนของกองทุนรวมอีกจำนวนไม่เกิน 365 ล้านบาท จากมูลค่าเงินทุนของกองทุนรวมเดิมจำนวน 900 ล้านบาท เป็นเงินทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 1,265 ล้านบาท ด้วยการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 36.50 ล้านหน่วย มูลค่าหน่วยละ 10 บาท
โดยบริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานอุตสาหกรรมมาตรฐาน และ/หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในโครงการ ซึ่งสินทรัพย์ที่กองทุนจะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม ประกอบด้วยการซื้อที่ดินและอาคารโรงงาน จำนวน 2 โรง ซึ่งตั้งอยู่ที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และการรับโอนสิทธิการเช่าที่ดินและซื้ออาคารโรงงาน จำนวน 18 โรง ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของบริษัทไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิล อินดัสเตรียล เซอร์วิสเซส จำกัด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 363 ล้านบาท
"การเพิ่มทุนครั้งนี้เพื่อให้กองทุนมีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้กองทุนสามารถจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวได้เพิ่มมากขึ้น และเป็นการกระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนั้นการที่กองทุนรวมมีจำนวนหน่วยลงทุนเพิ่มมากขึ้นจะทำให้หน่วยลงทุนมีสภาพคล่องมากขึ้นสำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" นายมาริษกล่าว
ขณะเดียวกันการจัดสรรหน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 36.50 ล้านหน่วยนั้น บริษัทจัดการจะเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมในสัดส่วน 1 หน่วยลงทุนเดิม ต่อไม่เกิน 0.41 หน่วยลงทุนใหม่ ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมซึ่งมีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน (Right Offering) ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมสามารถจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่เกินกว่าสิทธิของตนได้